บท
ตั้งค่า

บทที่ 1

ในวันเกิดอายุครบสามสิบสิบปี 'หยางเพ่ยเพ่ย' แพทย์ทหารสังกัดหน่วยรบพิเศษจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เธอได้รับภารกิจให้เข้าช่วยเหลือเพื่อนทหารจากสังกัดเดียวกันที่พลาดพลั้งให้กับฝ่ายตรงข้ามระหว่างปฏิบัติหน้าที่จนได้รับบาดเจ็บ

ผู้ที่เธอต้องเข้าช่วยเหลือนั้นคือหนึ่งในเพื่อนสนิทที่ฝึกมาพร้อมกันตั้งแต่สมัยที่เริ่มเป็นทหาร ด้วยความร้อนใจและไม่ทันระมัดระวังเธอจึงถูกฝ่ายตรงข้ามยิงเข้า

"ปัง!"

ในชั่วพริบตากระสุนนั้นได้วิ่งทะลุผ่านขั้วหัวใจของเธอ เพ่ยเพ่ยรู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่สามารถจะบรรยายได้ เมื่อภาพตรงหน้าค่อยๆ เลือนรางลงจนทุกอย่างกลายเป็นสีขาวสว่างจ้า เพ่ยเพ่ยวรู้สึกว่าร่างของตัวเองนั้นเบาหวิวและกำลังล่องลอยไปตามคลื่นกระแสของอะไรสักอย่าง ความรู้สึกแบบนี้ช่างประหลาดเหลือเกิน

"นี่เราตายไปแล้วหรอ"

เสียงพึมพำแผ่วเบาเปล่งออกมาก่อนที่เธอจะลืมตาที่หนักอึ้งขึ้นมาอย่างช้าๆ

เพ่ยเพ่ยกวาดสายตามองไปรอบตัว เมื่อปรับสายตาที่พร่ามัวให้เริ่มคงที่ได้แล้วเธอก็ต้องรู้สึกประหลาดใจกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า บรรยากาศรอบตัวของเธอเหมือนกับฉากในละครโบราณย้อนยุคที่เธอเคยดูจากในละครหลังข่าวไม่มีผิดเพี้ยน

นี่เราอยู่ที่ไหน หรือว่าจะเป็นกองถ่ายละครกัน

แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน จากสนามรบแล้วมาอยู่กลางกองถ่ายเนี่ยนะ เธอคิดว่ามันไม่เมคเซ้นส์เอาเสียเลย

หรือว่าจะเป็นภาพหลอนจากฤทธิ์มอร์ฟีน อืม…นี่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดแล้ว

เพ่ยเพ่ยกะพริบตาช้าๆ ด้วยความเหนื่อยล้า ยังไม่ทันที่สติจะกลับมาเต็มร้อยก็ต้องประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้สบเข้ากับดวงตาคมกริบคู่หนึ่ง สายตาอันเย็นชาของบุรุษผู้นั้นมันทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว

ใบหน้าของเขางดงามราวภาพวาด คางเป็นสันได้รูปอย่างที่บุรุษพึงมี ผมที่ยาวดำขลับดุจน้ำหมึก คิ้วหนาดกดำรูปกระบี่ที่รับกับใบหน้าเป็นอย่างดี ปากสีแดงระเรื่อตัดกับผิวขาวชวนให้เธอตกตะลึง แต่ดวงตาสีดำอันแกร่งกร้าวที่มองมาที่เธอนั้นกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

บุรุษผู้นั้นจ้องมองเธอจนตาแทบไม่กะพริบ ให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเธออย่างไรอย่างนั้น

บุรุษแปลกหน้าสวมชุดจีนโบราณ ผ้าไหมชั้นดีสีแดงปักลวดลายมังกรสีทอง รอยตัดเย็บที่ไร้ที่ตินั้นบ่งบอกได้ถึงราคาที่ไม่ธรรมดาของงานประณีตชิ้นนี้

ชุดจีนโบราณที่เผยให้เห็นรูปร่างอย่างชัดเจนเช่นนี้ช่างเข้ากับบุคลิกและรูปร่างสูงอกผายไหล่ผึ่งของเขานัก ยิ่งสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ของเขายิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขาม

เอ๊ะ!...เดี๋ยวก่อนนะ นั่นไม่ใช่ชุดจีนโบราณเหมือนในละครหรอ

ไม่เพียงแต่ฉากสถานที่แบบโบราณในห้องนี้ แต่เขายังแต่งชุดโบราณอีกด้วย เพ่ยเพ่ยเริ่มก้มหน้ามองดูร่างของตนเองดูบ้าง และก็ต้องประหลาดใจที่เธอเองก็ใส่ชุดจีนโบราณสีแดงสดเช่นเดียวกันกับเขา

บุรุษลึกลับผู้นั้นแสยะยิ้มมองนางอย่างเหยียดหยามพร้อมกับส่งสายตาเย็นชามาให้ ก่อนที่เขาจะเอ่ยน้ำเสียงเย้ยหยันออกมา

"หึ…คุณหนูแห่งสกุลหยางอันยิ่งใหญ่เช่นเจ้า ไม่คิดเลยว่าจะใช้ยาปลุกกำหนัดเพื่อมัดใจบุรุษ สิ้นไร้หนทางถึงเพียงนี้เชียวรึ"

เพ่ยเพ่ยเมื่อได้ยินดังนั้นก็เริ่มรู้สึกสับสนมึนงงไปหมด

‘ห๊ะ! นี่มันอะไรกัน อย่าบอกนะว่าเราย้อนยุคมาเหมือนที่เคยอ่านในนิยาย ไม่หรอกน่า! อาจจะเป็นแค่ความฝันก็ได้ แล้วที่เขาพูดเมื่อกี้มันหมายความว่าอะไร คุณหนูหยางอะไรกัน’

เพ่ยเพ่ยได้แต่คิดหาเหตุผลอยู่ในใจ ตอนนี้เธอรู้สึกสับสนมึนงงไปหมดแล้ว

‘นี่มันสถานการณ์อะไรเนี่ย กองถ่ายละครคงไม่สมจริงขนาดนี้มั้ง’

บุรุษลึกลับผู้นั้นจ้องเธอตาไม่กะพริบ สายตาของเขามองมาที่เธออย่างรังเกียจ ระหว่างที่เพ่ยเพ่ยกำลังรู้สึกสับสน อยู่ๆ ความทรงจำของใครบางคนก็ทะล้นทะลักเข้ามาในหัวของเธออย่างไม่ขาดสายจนเธอรู้สึกมึนงงไปหมด

และแล้วเธอก็เริ่มเข้าใจทุกอย่างได้ในไม่ช้า ภาพในหัวของเธอเหล่านี้มันคือความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมแน่ๆ นี่เธอคงตายไปแล้วและวิญญาณก็ข้ามภพมาอยู่ในร่างนี้เหมือนในนิยายที่เธอชอบอ่านฆ่าเวลายามว่าง

‘ฮือ...นี่มันอะไรกันวะเนี่ย ตอนอ่านนิยายมันก็สนุกดีหรอก แต่ฉันไม่ได้อยากสนุกแบบนี้นี่นา ให้ตายเถอะ!‘

เพ่ยเพ่ยได้แต่สบถในใจ เธอควรดีใจหรือเสียใจดีที่เธอยังไม่ตาย

ในความทรงจำที่เพ่ยเพ่ยพึ่งได้รับมานี้เจ้าของร่างนี้มีนามว่า 'หยางเพ่ยเพ่ย' ซึ่งเป็นชื่อแซ่เดียวกันกับเธอไม่มีผิดเพี้ยน หยางเพ่ยเพ่ยผู้นี้เป็นบุตรสาวคนเดียวของ 'หยางหลี่เหลียน' เสนาบดีฝ่ายขวาแห่งแคว้นอู๋ ขุนนางผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เขาจงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้เพียงผู้เดียวเท่านั้น

หยางเพ่ยเพ่ยมีพี่ชายอีกสองคน นางเป็นบุตรสาวคนเล็กของตระกูลหยาง ทั้งสามคนเป็นบุตรธิดาที่เกิดจากมารดาคนเดียวกันคือ 'จางซูหนี่ว์' หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า ‘หยางฮูหยิน’

ผู้คนทั้งเมืองชางหลางต่างรู้กันว่าบุตรสาวคนเล็กแห่งจวนเสนาบดีนั้นมีรูปโฉมงดงามล่มบ้านล่มเมือง แต่กลับเป็นที่กล่าวขานกันว่านางนั้นมีนิสัยที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจ เพราะเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวในตระกูลจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้รับการเอาอกเอาใจจากทั้งบิดามารดาและพี่ชายทั้งสองมาโดยตลอด ไม่ว่านางต้องการอะไรทุกคนก็จะหามาให้ เรียกได้ว่าชีวิตอยู่สุขสบายมิเคยได้รับความยากลำบากใดมาตั้งแต่เกิด

ยามนี้นางอายุสิบหกหนาวและก็ถึงควรแก่เวลาที่จะต้องออกเรือนได้แล้ว บิดาจึงเริ่มคัดสรรคุณชายจากตระกูลใหญ่มากมายมาให้นางได้เลือกว่าอยากแต่กับใคร แต่นางกลับไม่สนใจบุรุษอื่นใดหรือคุณชายบ้านไหนเลย

หยางเพ่ยเพ่ยปักใจรักมั่นในตัวอ๋องหมิงหรือ 'อู๋เหยาหมิง' แต่เพียงผู้เดียว นางยืนกรานกับผู้เป็นบิดาอย่างหนักแน่น หากไม่ได้แต่งงานกับเขานางก็ไม่คิดจะออกเรือนไปกับผู้ใดทั้งสิ้น

ครั้งแรกที่นางได้เจอเขานางก็ตกหลุมรักในตัวเขาทันที เรียกว่าเป็นรักแรกพบเลยก็ว่าได้

ชินอ๋องอู๋เหยาหมิงเป็นอนุชาคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ที่ประสูติจากมารดาเดียวกันหรือก็คือองค์ไทเฮาในตอนนี้นั่นเอง ไม่เพียงแต่รูปงามเป็นหนึ่งในแคว้นอู๋ ชื่อเสียงเรื่องความเก่งกาจในสนามรบของเขานั้นเรียกได้ว่าไม่มีใครไม่เกรงกลัวเมื่อได้ยินชื่อ ‘อ๋องหมิง’

เขาคือเทพสงครามที่ศัตรูต่างหวั่นเกรง แม่ทัพใหญ่ผู้เก่งกาจแห่งแคว้นอู๋ ไม่มีศึกใดที่เขานำทัพแล้วไม่ชนะ หญิงใดเลยจะไม่ปรารถนาอยากเป็นสตรีของบุรุษเยี่ยงอ๋องหมิง แม้ว่าบุคลิกอันเงียบขรึมและดุดันของเขาจะทำให้เขาดูน่าหวาดกลัวในสายตาของผู้คนก็ตาม

บิดาของหยางเพ่ยเพ่ยเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกันกับนางว่าอ๋องหมิงนั้นเหมาะสมยิ่ง หากบุตรสาวของเขาได้แต่งเข้าจวนอ๋องนั่นย่อมเป็นการดีที่จะคงไว้ซึ่งอำนาจของตระกูลหยาง เขาเป็นเอกทางบุ๋น หากมีอ๋องหมิงที่เป็นหนึ่งทางบู๊มาอยู่ข้างเดียวกัน เกรงว่าอำนาจของเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะไม่สามารถเล่นงานตระกูลหยางของเขาได้

'หยางหลี่เหลียน' ต้องการให้บุตรชายคนโตของเขา 'หยางเฟย' สืบทอดตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาต่อจากเขา จึงถือเป็นการดียิ่งหากว่าได้ผูกสัมพันธ์กับจวนอ๋องหมิง

หยางเพ่ยเพ่ยรักปักใจต่ออ๋องหมิงโดยมิได้สนใจข่าวลือที่ว่าอ๋องหมิงนั้นมีคนรักอยู่แล้ว นางคิดเพียงแต่ว่าหากได้แต่งงานกันไปแล้วอ๋องหมิงก็จะรักนางเอง เหมือนดังเช่นคู่แต่งงานหลายคู่ที่ผู้ใหญ่จัดการให้ตามความเหมาะสม คราแรกอาจจะไม่รู้จักกันแต่พอได้ร่วมหอลงโรงไปแล้วก็รักกันไปเอง

หยางเพ่ยเพ่ยมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมากด้วยนางนั้นนับว่ามีรูปโฉมที่งดงามเป็นหนึ่งในแว่นแคว้น ความสามารถและชาติตระกูลของนางก็เพียบพร้อมมิได้ด้อยไปกว่าใคร อ๋องหมิงย่อมต้องไว้หน้าบิดาของนางอยู่บ้าง อย่างไรเสียเขาก็คงจะเปลี่ยนใจมารักนางได้ไม่ยาก

อ๋องหมิงเมื่อครั้งยังเยาว์วัยก็ถูกส่งออกจากเมืองหลวงไปร่ำเรียนศึกษาวิทยายุทธกับผู้เฒ่าฝูบนเทือกเขาหลิงซาน

ผู้เฒ่าฝูมีหลานสาวคนหนึ่งนามว่า 'ฝูเหวิน' นางนั้นร่างกายอ่อนแอและสุขภาพไม่สู้ดีมาตั้งแต่เด็กจึงทำให้นางมีรูปร่างบอบบาง ใบหน้าขาวแม้ไม่ผุดผาด แต่ด้วยดวงตาที่กลมโตชวนให้ผู้คนมองจึงทำให้นางดูอ่อนหวานราวเทพธิดาก็ไม่ปาน

ในสายตาของบุรุษทุกผู้ที่ได้พบเห็นนางล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าฝูเหวินนั้นดูเป็นสตรีที่อ่อนโยนและน่าทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่ง

อ๋องหมิงและฝูเหวินสนิทสนมกันมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ฝูเหวินเองก็ปักใจรักอ๋องหมิงด้วยทั้งหมดที่เขาเป็น ในสายตาของนางเขาหล่อเหลาราวเทพเซียน ฐานะสูงส่งเหนือผู้ใด และวรยุทธที่เก่งกาจหาใครเทียบทำให้อ๋องหมิงกลายเป็นศิษย์เอกของผู้เฒ่าฝูอย่างมิต้องสงสัย และที่สำคัญเขาเองก็เอ็นดูนางยิ่งกว่าหญิงใดทั้งหมด การได้เป็นชายาเอกของเขาคือตำแหน่งที่นางใฝ่ฝันมาตลอด

อ๋องหมิงเองก็ดูจะเอ็นดูนางมากเช่นกัน ฝูเหวินเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ใกล้ชิดเขามากที่สุดหากไม่นับรวมพระมารดาและแม่นมของเขา ด้วยความโดดเดี่ยวเดียวดายที่ต้องจากพระบิดาและพระมารดามาร่ำเรียนวิชากับท่านผู้เฒ่าฝูตั้งแต่ยังเล็ก ฝูเหวินจึงนับเป็นผู้เดียวที่คอยปลอบประโลมและคอยเติมเต็มความอบอุ่นแก่เขายามที่เขารู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง

ทั้งสองดูสมัครรักใคร่กันเป็นอย่างมาก หลังจากที่ผู้เฒ่าฝูญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของฝูเหวินนั้นได้ลาจากโลกนี้ไป อ๋องหมิงอยากจะแต่งฝูเหวินเข้ามาอยู่ในตำหนักอ๋องกับเขาแต่ด้วยฐานะของฝูเหวินที่ไม่ได้มีครอบครัวมาจากตระกูลใหญ่และยังเป็นเด็กกำพร้า องค์ไทเฮาและฮ่องเต้องค์ก่อนจึงไม่อนุญาตให้เขาแต่งฝูเหวินเป็นชายาเอก และนางเองก็ไม่ยอมแต่งเข้ามาเป็นอนุด้วยเช่นกัน

แต่อ๋องหมิงก็หาได้สนใจไม่ อ๋องหมิงพาฝูเหวินเข้ามาอยู่ในตำหนักของเขาอย่างเปิดเผย แม้จะไม่ได้แต่งเข้าเป็นชายา แต่นางก็ยังสามารถอยู่ในตำหนักของอ๋องหมิงได้ เรื่องนี้ทุกคนในตำหนักทราบดี ไม่เว้นแม้แต่ชาวบ้านเองก็ยังพากันพูดปากต่อปากไปทั่วเมืองชางหลางถึงเรื่องนี้

มีเพียงหยางเพ่ยเพ่ยที่แม้จะได้ยินเรื่องนี้มาบ้างแล้วแต่ก็ยังทำเป็นไม่สนใจ เพราะนางมั่นใจว่าอ๋องหมิงจะต้องเปลี่ยนใจมารักนางได้อย่างแน่นอน สำหรับนางแล้วฝูเหวินผู้นั้นไม่มีอะไรที่สามารถเทียบชั้นกับนางได้เลย

หยางเพ่ยเพ่ยจึงรบเร้าบิดาของนางให้ไปทูลเรื่องสมรสกับองค์ฮ่องเต้ เสนาบดีหยางเองก็ไม่ลังเลที่จะไปทูลขอสมรสพระราชทานด้วยถูกบุตรสาวรบเร้าอย่างหนักและเห็นว่าอ๋องหมิงเองก็เหมาะสมกับบุตรสาวของเขา หากว่าบุตรสาวได้แต่งเข้าตำหนักอ๋องอำนาจของตระกูลหยางก็จะไม่มีวันสั่นคลอน

ฮ่องเต้และองค์ไทเฮาก็เห็นด้วยเพราะฮ่องเต้ยังต้องการขุมพลังอำนาจของเสนาบดีหยางมาไว้คานอำนาจกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่พักหลังมานี้เริ่มมีอำนาจมากขึ้นจนเป็นที่น่าหวั่นเกรง เสนาบดีฝ่ายซ้ายหรือเสนาบดีเกาคือบิดาของเกากุ้ยเฟยสนมเอกของพระองค์ และยามนี้ตระกูลเกาก็มีอำนาจล้นมือจนพระองค์เริ่มหวาดระแวง

ฮองเฮาเองก็เห็นด้วยว่าต้องหยุดอำนาจของตระกูลเกาเอาไว้ก่อนที่จะส่งผลร้ายต่อองค์รัชทายาทซึ่งเป็นโอรสของพระนาง ฮ่องเต้จึงได้มีราชโองการพระราชทานสมรสให้กับอ๋องหมิงและหยางเพ่ยเพ่ยบุตรีของเสนาบดีหยาง

แรกเริ่มเมื่ออ๋องหมิงได้ทราบเรื่องสมรสพระราชทานก็ค้านหัวชนฝา แต่ด้วยเพราะองค์ไทเฮานั้นไม่ยินยอม อย่างไรก็ต้องให้หยางเพ่ยเพ่ยแต่งเข้าเป็นชายาเอกของอ๋องหมิงให้จงได้

ตระกูลหยางถือเป็นญาติห่างๆ ขององค์ไทเฮาทั้งยังเป็นการช่วยฮ่องเต้ในการคานอำนาจกับขุนนางฝ่ายต่างๆ อ๋องหมิงซึ่งเป็นคนรักพี่รักน้องและมิได้ฝักใฝ่ในบัลลังก์จึงต้องยอมแต่งงานอย่างจำใจเพื่อช่วยพระเชษฐา

อ๋องหมิงตั้งปณิธานเอาไว้แล้วว่าเขาจะไม่มีวันแตะต้องชายาผู้นี้ หากนางอยากแต่งเข้ามานักก็เชิญ แต่อย่าได้หวังว่าจะได้ความรักจากเขา ยิ่งพอได้ทราบว่าเป็นนางเองที่เป็นคนไปรบเร้าบิดาให้มาขอร้องเสด็จพี่ของเขาเรื่องการสมรสครั้งนี้เขาก็ยิ่งเกลียดนางมากขึ้นไปอีก เขาเกลียดนักพวกสตรีที่วิ่งไล่ตามบุรุษ

'ช่างหน้าไม่อาย'

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel