บทนำ เสวียนฮองเฮา
รัชศกเฉิงจงปีที่สิบสี่ เมฆดำเคลื่อนคล้อยเข้ามาบดบังท้องฟ้าในยามราตรี ส่งให้บรรยากาศมืดมิดแลดูวังเวงน่าประหวั่นพรั่นพรึง ตามมาด้วยสายลมกระโชกแรงพัดต้นไม้ใบหญ้าลู่ลงจนผิดรูปผิดร่าง เสียงท้องฟ้าเริ่มคำรามลั่นส่องแสงแปลบปลาบโอบล้อมแผ่นดินต้าหมิง
ขณะที่ผู้คนกำลังหลับใหล ในเขตพระราชฐานชั้นใน บนเส้นทางปูด้วยแผ่นหินเจียเนื้อหยาบ ปรากฏร่างของขันทีทั้งสามก้าวเท้าอย่างมั่นคงด้วยสีหน้าท่าทางสุขุมไม่ว่อกแว่ก มุ่งหน้าสู่ตำหนักใหญ่ที่ตั้งอยู่ในสุดของพระราชวังต้องห้าม ชุดสีน้ำเงินอมดำปักดิ้นสีแดงลวดลายนกอินทรีกลางอกปลิวสะบัดไปตามแรงลม โคมไฟที่ถืออยู่ในมือกวัดแกว่งไปมาจวนเจียนจะดับ
ตำหนักคุนหนิง
แสงสว่างจากเชิงเทียน ไม่เพียงพอจะส่องสว่างให้ทั่วห้องโถงที่ประทับปีกหน้า แต่ถึงกระนั้น ยังพอจะส่องให้เห็นถึงเครื่องหน้าของสตรีที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ไม้สักสลักลายหงส์ เงาบัลลังก์ทอดยาวพาดลงบนบันไดสามขั้นแลดูวังเวงน่ากลัว แม้ว่าเครื่องทรงที่นางสวมใส่จะเต็มยศสง่างาม แต่สีหน้าท่าทางกลับแลดูอิดโรย เหนื่อยล้า ดวงตาทั้งสองข้างบวมช้ำคล้ายพึ่งผ่านการร่ำไห้มาอย่างหนัก
“ฮองเฮา พ่ะย่ะค่ะ” ถาดกระเบื้องเคลือบชั้นดีสีขาวลวดลายดอกเหมยสีแดงพร้อมจอกลวดลายเดียวกันยื่นมาเบื้องหน้า
เสวียนซู่ชิงเหลือบมองน้ำใสในจอกด้วยสายตาว่างเปล่า เสี้ยวหนึ่งพลันนึกย้อนไปถึงอดีต ก่อนหน้านั้นนางเคยเป็นแม่ทัพผู้เก่งกาจ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่นางลืมตน พาตัวเองเข้ามาอยู่ในวังวนแห่งอำนาจราคะ ลืมพี่น้องที่เคยร่วมรบ พี่น้องที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมา ทุ่มเทมุ่งมั่นทำเพื่อคนเพียงคนเดียว สิบปีที่ผันผ่าน นางเหนื่อยเหลือเกินแล้ว เหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
หยาดพิรุณเริ่มกระทบหลังคากระเบื้องเสียงดังเปาะแปะ ไม่นานก็ค่อยๆ กระหน่ำลงมาราวกับจะถล่มหลังคาให้พังพินาศ ท้องฟ้าโกรธกริ้วคำรามลั่น สายลมพิโรธโหมกระพือม้วนตัวไร้ทิศทาง ไม่ว่าบรรยากาศภายนอกจะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด ขันทีผู้อัญเชิญจอกสุรายังยืนนิ่งสงบ รอการตัดสินใจจากสตรีบนบัลลังก์หงส์อย่างใจเย็น
ในที่สุดริมฝีปากสีแดงสดก็เริ่มขยับ “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งอันใดถึงข้า”
“ฝ่าบาททรงตรัสว่า หากฮองเฮายอมดื่มสุราจอกนี้ พระองค์จะทรงให้อภัยที่พระนางสังหารองค์รัชทายาท และจะไม่เอาโทษคนตระกูลเสวียน ทั้งยังจะฝังพระศพในสุสานหลวงอย่างสมเกียรติในฐานะเสวียนฮองเฮา พ่ะย่ะค่ะ”
“หึ! หึหึ ฮะ ฮ่า ฮ่า” เสวียนฮองเฮาพลันสรวลออกมาอย่างบ้าคลั่ง ผิดกับท่าทางสง่าภูมิฐานเหมือนกาลก่อน ทว่าเสียงหัวเราะนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันที่มีต่อโลก ซู่ชิงเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ ว่า ข้ามาทำอันใดที่นี่
ขันทีทั้งสามไม่มีท่าทีตกใจ คล้ายจะคุ้นชินกับท่าทางก่อนตายของสตรีในวังหลังเป็นอย่างดี ยืนรอทำหน้าที่อย่างสงบเสงี่ยม
เมื่อเสียงหัวเราะเริ่มแผ่วเบาลง ฝ่ามืออันสั่นเทาก็เอื้อมไปหยิบจอกสุราจากถาดขึ้นมาจรดริมฝีปาก โดยไม่มีท่าทีลังเล สุราจอกนั้นพลันถูกกระดกจนหมดจอก
พิษในสุราราวกับจะฉีกกระชากร่างของนางออกเป็นชิ้นๆ ลำคอปวดแสบปวดร้อนเกินทน ลมหายใจติดขัด ถึงแม้จะเจ็บปวดแสนสาหัส ทว่าซู่ชิงกลับไม่ร้องสักแอะ นั่งอยู่บนบัลลังก์หงส์อย่างสง่างาม คล้ายว่าผู้ที่ดื่มยาพิษเมื่อครู่หาใช่นาง เพียงหลับตาพิงพนักเก้าอี้ท่าทีสงบนิ่ง
ในหัวปรากฏภาพผู้คนมากมายที่เคยถูกนางสังหาร ทับซ้อนกับภาพในวัยเด็ก ภาพตอนนางออกศึก จนกระทั่งพบรักกับเขา แต่ภาพสุดท้ายที่นางเห็นก่อนสิ้นลม มีเพียงภาพบรรยากาศที่แสนจะเดียวดายเปลี่ยวเหงาในตำหนักกว้างขวาง จบสิ้นกันเสียที
ว่ากันว่า คนตายคือคนที่หมดเวรหมดกรรม แต่เหมือนว่าเสวียนฮองเฮาจะก่อกรรมเอาไว้มาก เลยถูกสวรรค์ลงโทษ
ซู่ชิงพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง อ้าปากหายใจโกยอากาศเข้าไปเต็มปอด เสียงวิ้งๆ ดังขึ้นในหู ร่างกายร้าวระบมไปหมด เสียงผู้คนกำลังพูดคุยกันดังเข้าโสต ภาพความทรงจำมากมายเริ่มผุดขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ ไม่นานนางก็หมดสติไป
โส่วหงซิ่วธิดาคนโตของแม่ทัพโส่วเย่าหนาน เกิดต้องตาจวิ้นอ๋องหมิงซีเหอ ความที่เป็นคนอารมณ์ร้ายเอาแต่ใจ จึงวางแผนชั่วทำลายชื่อเสียงของทั้งตนเองและจวิ้นอ๋องในงานเลี้ยงบุปผาที่พระสนมเฮ่อเฟยจัดขึ้น กระทำการอย่างไร้ยางอาย จนได้อภิเษกกับจวิ้นอ๋องสมใจ แต่หารู้ไม่ ว่าหนทางที่นางเลือกกลับเป็นหนทางสู่ความตาย
เดิมทีจวิ้นอ๋องหมิงซีเหอมีหญิงอันเป็นที่รักอยู่แล้ว นามว่าเหอสวีอี หญิงสาวนางนี้แม้มีชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่กลับเป็นสตรีที่มีคุณใหญ่หลวงกับจวิ้นอ๋อง บิดาของนางเป็นหมอผู้ต่อเส้นเอ็นที่ถูกตัดขาด ทำให้ท่านอ๋องที่สมควรจะขาพิการกลับมาเดินได้อีกครั้ง ในวันที่หมิงซีเหอสัญญาว่าจะตกแต่งเหอสวีอีเป็นภรรยา ก็มาเกิดเรื่องงามหน้าในงานบุปผาขึ้นเสียก่อน สุดท้ายผู้ที่ได้เป็นเจ้าสาวกลับเป็นโส่วหงซิ่ว
หลังจากอภิเษกได้เพียงสิบวัน โส่วหงซิ่วก็บุกเข้าไปในเรือนหูเยว่ตบตีเหอสวีอีจนเลือดกบปาก เมื่อจวิ้นอ๋องกลับมาจึงสั่งโบยตีสาวใช้ที่ตามมาจากตระกูลโส่วจนตาย อีกทั้งยังสั่งโบยโส่วหงซิ่วยี่สิบไม้ จากนั้นก็สั่งให้บ่าวไพร่นำร่างของนางไปโยนไว้ที่เรือนหลังเล็กท้ายตำจวน ในคืนเดียวกันนั้น โส่วหงซิ่วได้สิ้นใจตาย ยามเดียวกับที่เสวียนฮองเฮาสิ้นพระชนม์พอดี
ซู่ชิงนอนจมอยู่กับความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมเนิ่นนาน ร่างกายและจิตวิญญาณเหนื่อยล้าเกินทน ไม่คิดว่าสวรรค์จะลงทัณฑ์นางเร็วถึงเพียงนี้ ในขณะที่กำลังสะลึมสะลือเพราะพิษไข้ หูคล้ายจะได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากที่ห่างไกล
“ท่านหมอ ท่านอ๋องสั่งให้ท่านรักษานางให้หายก่อนพิธีฝังพระศพองค์รัชทายาทและฮองเฮา”
“ฝากฉวีกงกงไปเรียนท่านอ๋องด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง นางหายทันแน่นอน”
หลังจากวันนั้น ซู่ชิงตกอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งสิบวันผ่านไป ถึงได้มีสติครบถ้วน
ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ อย่างเลื่อนลอย หวนคิดไปถึงอดีตชาติ
ความรัก อำนาจ ราคะ มีสิ่งใดบ้างที่วังหลังแห่งนั้นไม่เคยมี เพราะความรักที่มีให้ฮ่องเต้หมิงซีจง เสวียนฮองเฮาต้องมือเปื้อนเลือดไปมากมายเท่าใดคงไม่มีใครคาดถึง ตอนที่นางยังเป็นเพียงพระชายาในองค์ชายใหญ่ นางก็เริ่มช่วยเขาสังหารพี่น้องแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ นางยังลอบปลงพระชนม์อดีตฮ่องเต้ให้คนผู้นั้นได้นั่งบัลลังก์ อะไรที่เรียกว่าชั่วช้า เสวียนฮองเฮาล้วนทำมาหมดสิ้น แต่สุดท้าย นางได้สิ่งใดตอบแทน ต้องทนดูชายคนรักพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจหญิงอื่น ต้องยอมรับบุตรสตรีอื่นมาเป็นบุตรของตนเอง แล้วจะให้นางทนได้อย่างไร เมื่อทนไม่ได้ก็ต้องฆ่าทิ้ง
ไม่รู้ว่ามีสนมชายามากมายเท่าใดที่ต้องตกตายภายใต้เงื้อมมือของฮองเฮา หากสตรีนางใดที่ฮ่องเต้ให้ความโปรดปราน มักไม่มีใครมีชีวิตอยู่ในวังได้เกินสามเดือน จนกระทั่งผ่านไปสิบปี กว่าที่เสวียนฮองเฮาจะทันรู้ตัว กองทัพของนางก็เป็นของฮ่องเต้ไปหมดแล้ว มิหนำซ้ำ ยังมีองค์รัชทายาทวัยแปดปีโผล่ขึ้นมา ไม่รู้ว่าระหว่างฮ่องเต้หมิงซีจงกับเสวียนฮองเฮาผู้ใดชั่วช้ากว่ากัน
เขาปล่อยให้นางฆ่าสตรีวังหลังมากมายโดยไม่เคยถามไถ่หรือลงโทษ เขาปล่อยให้นางหมกมุ่นอยู่กับความรัก อำนาจ ราคะ จนหลงลืมว่าตนเองเคยเป็นแม่ทัพผู้เก่งกาจ จากนั้นก็ค่อยๆ ยึดอำนาจทหารในมือของนาง และที่โหดร้ายที่สุด คือเขาซ่อนสตรีอันเป็นที่รักไว้อย่างมิดชิด ทั้งยังแอบให้กำเนิดโอรส รอจนวันที่เสวียนฮองเฮาไม่เหลืออำนาจ เขาถึงได้แต่งตั้งสตรีนางนั้นเป็นหวงกุ้ยเฟย พร้อมทั้งแต่งตั้งลูกของนางเป็นองค์รัชทายาท
แต่เสวียนฮองเฮามีหรือจะยอมให้ผู้ใดมาเสวยสุขบนหยาดเหงื่อของตัวเอง นางวางยาจนหวงกุ้ยเฟยมิอาจตั้งครรภ์ได้อีกชั่วชีวิต ทั้งยังสังหารโอรสเพียงคนเดียวของเขา สุดท้ายเขาก็มอบสุราจอกนั้นให้นาง
ซู่ชิงถือว่านางกับเขาหมดเวรหมดกรรมต่อกันแล้ว เมื่อสวรรค์ต้องการให้นางชดใช้กรรม จากนี้นางจะขอก้มหน้าใช้กรรมที่นางเคยก่อเอาไว้ โดยไม่หาเหตุผล เมื่อไร้ซึ่งความแค้น จิตวิญญาณย่อมไม่ยึดติด บัดนี้นางคือโส่วหงซิ่วหาใช่เสวียนซู่ชิง