บทที่ 2 เกี๊ยวยอดเซียน
“นั่น เหอวาวาไม่ใช่เหรอ”
เสียงทักทายของเพื่อนร่วมชั้นเรียนดังมาจากทางด้านหน้า เพื่อนกลุ่มนี้ไม่น่าจะเรียกว่าเพื่อน เพราะชอบแกล้งและล้อเลียนเหอวาวาอยู่บ่อยครั้ง แต่วันนี้ดูเหมือนจะเดินหลบไม่พ้นเสียแล้ว จึงต้องปั้นหน้ายิ้มแย้มแล้วตอบกลับ
“ไม่นึกว่าจะมาเจอพวกเธอที่นี่ มาทำอะไรกันเหรอซูซู หงหลิน”
ทั้งสองเองก็ไม่อยากจะนับว่าเหอวาวาเป็นเพื่อน แต่มันรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งเพราะไม่เคยมีสักครั้งคนที่ยากจนที่สุดจะตอบโต้
“ตาบอดหรือยังไง มาเดินเทศกาลอาหารก็ต้องมาชิมอาหารแล้วเอากลับไปปรับปรุงในชั้นเรียนน่ะสิ ดูเธอสิหอบพะรุงพะรังแบบนี้ นี่คงไม่คิดจะมากินเอาอิ่มหรอกใช่ไหม” ซูซู เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
เหอวาวายิ้มแห้งตอบกลับไป ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ทำให้ชวนอับอายแต่เธอก็กล้าหาญพอที่จะยอมรับ
“ก็ฉันไม่ได้มีพ่อแม่เลี้ยงดูอย่างพวกเธอนี่นา อีกอย่างวันนี้อาหารน่าอร่อยก็เรียงรายอยู่เต็มสองข้างทางไปหมด ถ้าไม่กินให้ครบก็โง่เต็มที”
ทั้งสองคนยังคงมองวาวาด้วยสายตาดูถูก ซูซูมีพ่อที่เป็นอาจารย์สอนประจำที่โรงเรียนดังในย่านธุรกิจ เธอทำทีเป็นล้วงถุงเงินข้างเอวออกมา
“เอาแบบนี้ดีไหม ถ้าเธอกล้ากระโดดสองขาแล้วเห่าแบบสุนัขไปรอบๆ ฉันจะให้เงินเธอสิบหยวนเพื่อไปไว้ซื้ออาหารกินประทังชีวิต” ซูซูเอ่ยข้อเสนอ
วาวาคิดไว้แล้วเชียวว่าเพื่อนไม่เอาไหนของเธอจะต้องเล่นไม้นี้ แต่วันนี้เธอก็อารมณ์ดีเกินกว่าที่จะปล่อยให้ทั้งสองคนเอาแต่รังแก
“เอาสิ แต่พวกเธอช่วยหันหลังไปทางนั้นก่อนได้ไหม เวลาฉันกระโดดจะได้ไม่อายพวกเธอมากนัก” วาวาเอ่ยขึ้นพลางทำหน้าซื่อ
“ได้สิ พวกเราหันก็ได้ อะ...เอาเงินไป” ซูซูโยนเงินให้
วาวารับเงินแล้วยิ้มกริ่ม รีบทำท่าคล้ายจะทำตามคำสั่งของซูซู ทั้งสองส่งยิ้มให้กันเพราะรู้แล้วว่าจะได้แกล้งเหอวาวาให้อับอายต่อหน้าผู้คน แต่เมื่อพวกเธอทั้งสองหันหลังไปแล้ววาวากลับยกเท้าข้างขวาขึ้นยันเข้าไปที่บั้นท้ายของทั้งคู่ในเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อนจะโยนเงินลงไปบนตัวคนที่ล้มกลิ้งไปกับพื้นเช่นหงหลิน
“รู้ไว้เสียด้วย ว่าในชั้นเรียนฉันเรียนเก่งที่สุดเพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องมาดูถูกด้วยเรื่องของเงิน พวกเธอรู้ตัวดีว่าอยู่ในชั้นเรียนไม่สามารถเอาชนะฉันได้ น่าสมเพชเหลือเกินถึงฉันจะจนกว่าพวกเธอมาก แต่ความคิดของฉันก็ไม่เคยอยากรังแกใคร เจอกันครั้งหน้าไม่ต้องเรียกฉันว่าเพื่อนอีกแล้ว” เหอวาวาหลังจากที่แกล้งกลับอดีตเพื่อนใจร้ายทั้งสองเสร็จแล้ว เธอก็ตะโกนว่าให้เสียงดังก่อนจะหันหลังแล้ววิ่งหนีไปอีกทางหนึ่ง
“เหอวาวา แล้วแกจะได้เห็นดีกับพวกเรา” หงหลินกล่าวอาฆาตพร้อมกับรีบลุกขึ้นยืน ใช้สองมือปัดเสื้อผ้าที่เปื้อนฝุ่น
“ใช่ ฉันไม่มีทางยอมปล่อยให้แกมีความสุขแน่” ซูซูเอ่ยด้วยความคับแค้นใจ ก่อนจะลูบบั้นท้ายตนเองปอยๆ
แต่คนที่ถูกอาฆาตมาดร้ายกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้าน ยังคงลอยหน้าลอยตาเดินต่อไปตามทาง พร้อมกับเดินเข้าออก ร้านทั้งสองฟากฝั่งเส้นทางอย่างสบายอารมณ์
แต่เมื่อเดินพ้นเพื่อนที่ชอบแกล้งทั้งสองมาแล้ว ในหัวใจของเหอวาวาก็กลับไปรู้สึกหดหู่อีกครั้ง
“เฮ้อ ฉันผิดตรงไหนกันที่เกิดมาจน แต่พวกเธอทั้งสองคนก็สู้ฉันเรื่องทำอาหารไม่ได้อยู่ดี ไม่อย่างนั้นจะสอบตกทั้งปีทั้งชาติเหรอ” หญิงสาวยังคงหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ เพื่อกลบความเหงาและความเศร้าของตนเอง
ในขณะที่เดินมาใกล้จะสุดเขตของเทศกาลอาหาร หญิงสาวมองเห็นสุดทางเดินเหลือเพียงร้านเล็กๆ ร้านหนึ่ง ซึ่งมีกลิ่นหอมโชยมาจนชวนให้เธอรู้สึกหิว เธอประหลาดใจเหลือเกิน เพราะส่วนมากอาหารที่เธอได้กลิ่นมาตลอดที่เดินในงานเทศกาลอาหารนั้น เป็นแค่กลิ่นที่ทำให้รู้สึกว่าหอมแต่ไม่เคยมีกลิ่นไหนทำให้รู้สึกหิวได้อย่างกลิ่นนี้
เหอวาวาเดินเข้าไปใกล้หน้าร้านซึ่งเป็นเพียงโต๊ะไม้ตัวเดียว มีเก้าอี้อยู่สี่ตัววางไว้แต่ละมุมของโต๊ะ ภายในร้านเล็ก ๆ ซึ่งมีพื้นที่เพียงแค่คนในร้านขยับตัวหมุนไปมา วาวามองซ้ายมองขวาไม่เห็นเจ้าของร้าน จึงได้ยืนรอ สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับสูตรอาหารเป็นกระดาษแผ่นเดียวมีก้อนหินทับอยู่
เหอวาวาจึงได้ยื่นมือไปหยิบขึ้นมาอ่านดู
เกี๊ยวยอดเซียน
บนกระดาษเป็นสูตรการทำเกี๊ยวยอดเซียน มีทั้งอัตราส่วนผสม วัตถุดิบ เทคนิคการห่อแป้งเกี๊ยว ทั้งแบบดั้งเดิมและแบบแฟนตาซีรูปต่าง ๆ การต้มเกี๊ยว การเก็บรักษาอุณหภูมิ รวมไปถึงการทำน้ำซุปด้วย
เหอวาวาขมวดคิ้วแปลกใจเมื่อเธอไล่สายตาจนครบ เธออ่านและจำได้ราวกับว่าเป็นสูตรที่เธอคิดขึ้นมาเอง และสามารถทำได้จนคล่อง ทั้งที่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นสูตรนี้ หญิงสาวยิ้มขึ้นอย่างยินดี กำลังจะวางแผ่นกระดาษกลับคืนก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองกลับไปยังภายในตัวร้านอีกที เนื่องจากตอนนี้ปรากฏชายชราแต่งกายแบบโบราณด้วยชุดสีมอซอ หนวดเครารุงรัง ยืนอยู่ตรงเคาเตอร์ ชายเจ้าของร้านส่งยิ้มมาให้ด้วยความเอื้อเฟื้อเช่นผู้ใหญ่ใจดี ช่างขัดกับชุดและบุคลิกที่เห็นเป็นที่สุด
เหอวาวาจึงได้เอาก้อนหินทับกระดาษแผ่นนั้นไว้ แล้วรีบถามด้วยความสงสัย
“เกี๊ยวอะไรทำไมถึงหอมขนาดนี้ ขอหนูชิมได้ไหมคะ”
“ได้สิ แม่หนู แต่ที่ร้านของฉันแจกให้ลูกค้าชิมได้แค่คนละชิ้นเท่านั้นนะ”
วาวาแทบจะอดใจไว้ไม่ไหวกับกลิ่นอันหอมหวานของมัน หญิงสาวใช้ไม้จิ้ม จิ้มลงไปยังเกี๊ยวตัวอวบ สีนวล ตั้งท่าจะส่งเข้าปาก แต่เป็นอันต้องชะงักลง เนื่องจากชายชราร้องห้ามขึ้นมาเสียก่อน
“เดี๋ยวจะกินนะ อธิษฐานขอพรหรือยัง” เหอวาวาชะงักมือพลางเลิกคิ้วคลายกับถามโดยไม่ได้ออกเสียง
“อธิษฐานก่อนที่จะกินสินังหนู นั่นนะเกี๊ยวยอดเซียนเชียวนะ”
ด้วยหัวใจอันห่อเหี่ยวกับความยากจนของตนเอง ทำให้เหอวาวาอธิษฐานออกมาเสียงดัง
“อืม เพราะชาตินี้หนูจนและอาภัพเกินไป หนูทั้งเบื่อที่นี่ เบื่อความไม่มีแฟน เบื่อความไม่สวยของตนเอง ท่านเซียนเจ้าขา ถ้าหนูอธิษฐานแล้วเป็นจริง หนูขอไปเกิดใหม่ได้ไหมคะ ขอให้ได้แต่งงานกับคนที่รักหนูจริง หนูจะเปิดร้านขายเกี๊ยวยอดเซียนนี้ให้รวยเป็นเศรษฐีไปเลย...เพี้ยง!!”
เหอวาวาไม่ลืมออกเสียง เพี้ยง!! ลงท้ายเสียงดังและเน้นหนักคำ ด้วยเธอจำได้ว่าคุณแม่สอนไว้คนไทยเมื่ออธิษฐานอะไรแล้ว ออกเสียงคำนี้ดังๆ แล้วมันจะสำเร็จ
เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว แทนที่จะจิ้มเกี๊ยวใส่ปากอย่างธรรมดา เธอดันพิเรนทร์ด้วยการโยนเกี๊ยวยอดเซียนขึ้นไปกลางอากาศ
ก่อนจะอ้าปากกว้างปล่อยให้เกี๊ยวร่วงลงมาใส่ปาก
และแล้วผลปรากฏว่า.....