บทที่ 12 อุปสรรคด่านแรก
ถึงแม้ว่าเหอวาวาจะพูดออกมาด้วยความมั่นใจว่าบ้านเธอจะขายเกี๊ยวยอดเซียนตามเจ้าของคนเก่าของร้านนี้ หญิงสาวอยากทำเกี๊ยวที่อร่อย รสชาติเหมือนกับเกี๊ยวที่เธอได้ชิมจนเป็นสาเหตุให้เธอย้อนเวลามาอยู่ในยุคสมัยนี้
เธอยังจำถึงรสชาติของเกี๊ยวนั้นได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสูตรต่างๆ กรรมวิธีการทำ วัตถุดิบที่ต้องใช้ ทุกอย่างมันอยู่ในหัวของเธอทั้งหมดแล้ว วาวาต้องการให้เกี๊ยวของเธอมีรสชาติที่อร่อย เป็นเอกลักษณ์ รูปร่างของเกี๊ยวต้องแปลกใหม่และไม่ล้าสมัย
ผ่านไปสองสัปดาห์แล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไร เหอวาวากลับไม่สามารถทำได้ หญิงสาวถึงกับบางครั้งบ่นให้กับท่านเซียน ให้ความรู้แค่ทฤษฎีน่าจะให้พลังวิเศษแบบทำครั้งแรกสำเร็จทันทีก็ไม่ได้ ทว่าด้วยความที่เป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ เหอวาวาจึงได้ทดลองทำด้วยตนเอง หญิงสาวเพียงแค่เอ่ยปลอบใจตนเองเบาๆ
“ของมันต้องฝึก จะได้ชำนาญ ทำเป็นแล้ว ใครก็มาเอาความรู้ความชำนาญไปจากเราไม่ได้”
การทดลองขั้นแรกจึงทำอยู่แค่เพียงภายในครัว วัตถุดิบและชิ้นเกี๊ยวมากมายจึงถูกทำแล้ววางเกลื่อนไปทั่วห้องครัว
เด็กๆ ช่วยคุณพ่อซ่อมแซมโต๊ะ เก้าอี้ ตรงด้านหน้าบ้านที่วาวาและสามีตัดสินใจว่าจะปรับปรุงเป็นหน้าร้านขายเกี๊ยวยอดเซียน จินเหอที่ได้กลิ่นหอมของเกี๊ยว ถึงแม้ว่ายังอยู่ในช่วงทดลองทำ เขาเดินวนเวียนเข้าออกอยู่ระหว่างห้องครัวและส่วนอื่นของบ้านที่ชายหนุ่มต้องซ่อมแซมหลายต่อหลายครั้ง บางครั้งจินเหอก็ยังแอบหยิบเกี๊ยวขึ้นมากินโดยที่ไม่ขออนุญาต
“ถ้ามีครั้งหน้าอีก จะเอาตะเกียบตีมือให้หักเชียว บอกแล้วไม่ใช่หรือคะว่าถ้ายังทำได้ไม่สำเร็จอย่าเข้ามาภายในครัวเด็ดขาด”
จินเหอเองก็ไม่ได้ใส่ใจคำพูดของผู้เป็นภรรยา เพราะถึงวาวาจะพูดจาด้วยท่าทีขึงขัง แต่สุดท้ายเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ เธอก็ต้องยอมให้เขาหอมแก้มอยู่ดี
“อย่าเคร่งเครียดนักเลย คุณเพิ่งจะหายจากการล้มป่วย เคร่งเครียดแบบนี้ไม่ดีเอาเสียเลย พักบ้างเถอะน่า” จินเหอกอดภรรยาจากทางด้านหลัง ปากก็เอ่ยคลอเคลียอยู่ริมใบหูสวย
“ฉันอยากจะทำให้ได้ อยากทำให้มันสำเร็จ ฉันมั่นใจว่ามันจะทำให้เราสามารถมีเงินมากพอให้คุณกลับไปคืนที่บ้านใหญ่ได้ แม่ใหญ่จะได้ไม่ตามมาหาเรื่องคุณอีก” หญิงสาวกุมมือของสามีไว้เอ่ยตอบเสียงจริงจัง
“ผมคิดไว้แล้วเชียวว่าคุณจะต้องฝังใจกับเรื่องนี้ เมื่อก่อนตอนที่คุณท้องลี่จินผมก็รู้สึกสงสารคุณมากที่แม่ใหญ่เอาแต่เฝ้ารังแกคุณเพียงคนเดียว ขอบคุณที่คุณอดทนเพื่อผมและลูกของเรา เชื่อผมเถอะนะ ต่อให้คุณจะไม่พยายามทำอะไรเพื่อครอบครัวของเรา ผมเองเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมเป็นหัวหน้าครอบครัวนะ ผมคงไม่ยอมให้คุณพยายามและต่อสู้คนเดียวแน่นอน แต่ตอนนี้ผมอยากให้คุณได้พักบ้าง ผมไม่อยากให้คุณล้มป่วยไปอีก”
“เราจะสู้ไปด้วยกันนะคะ” เหอวาวาตบลงไปบนหลังมือของสามีเบาๆ อย่างให้กำลังใจตนเองและจินเหอด้วย เธอส่งยิ้มอ่อนหวานให้สามี ก่อนจะผละไปทดลองทำเกี๊ยวสูตรที่เธอต้องการอีกครั้ง จินเหอจูบลงไปบนกลุ่มผมของวาวา แล้วจึงกลับไปทำงานในส่วนด้านหน้าบ้านต่อไป
จินเหอยังคงเดินวนเวียนเข้ามาบีบที่หัวไหล่ทั้งสองข้างพร้อมกับทุบไหล่ให้ภรรยาอย่างเอาใจ
“ผมอยากให้คุณพักผ่อนให้เยอะๆ ถ้าวันนี้มันยังไม่สำเร็จก็ไปนอนพักผ่อนในห้องก่อนดีไหม ผมยินดีเป็นหมอนวดให้คุณชั่วคราวได้นะ”
จินเหอว่าแล้วก็ลูบไปบนหลัง บ่า และลาดไหล่ของภรรยาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะสวมกอดด้วยความรักทั้งหมดที่มี
สัมผัสของสามีทำให้วาวาแก้มแดงจัดถึงแม้จะเข้าใจในภาษากายของจินเหอ ทว่าปณิธานของวาวานั้นกลับแรงกล้ามากกว่า
“ต่อให้วันนี้ฉันจะต้องเป็นลมตายอยู่ในห้องครัว ก็จะต้องหาทางทำสูตรเกี๊ยวยอดเซียนออกมาให้ได้ค่ะ” เธอรีบหมุนตัวกลับมาหาผู้เป็นสามี จับมือของเขาแล้วบีบอย่างต้องการกำลังใจพร้อมกับสบตากับจินเหอด้วยประกายตาแห่งความมุ่งมั่น
“ที่รักคะ นี่คือการเดิมพันของครอบครัวเรา ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจ ฉันจะไม่ยอมให้แม่ใหญ่กลับมารังแกได้อีกเด็ดขาด เมื่อก่อนฉันอาจจะไม่ใส่ใจเรื่องที่แม่ใหญ่รังแกฉัน แต่ตอนนี้มันเป็นคนละเรื่อง เพราะตอนนี้เราไม่เกี่ยวข้องกับบ้านใหญ่แล้ว ลูกๆ ก็โตขึ้นทุกวัน ปีหน้าลี่หยางกับลี่หยวนก็ต้องเข้าโรงเรียน ฉันอยากให้พวกเขาได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด ขอให้คุณสนับสนุนและเข้าใจฉันด้วยนะคะ”
ในที่สุดจินเหอก็ดูเหมือนจะต้องยอมพ่ายแพ้ให้กับปณิธานอันยิ่งใหญ่ของผู้เป็นภรรยา เขาปล่อยอ้อมกอดออก ทำหน้าปลาตาย ด้วยไม่สามารถบังคับให้ภรรยาพักผ่อนได้ เขาเพียงแต่มีความหวัง ถ้าหากภรรยาจะไม่เหนื่อยในตอนกลางวันมากนัก ตอนกลางคืนเขาก็อยากจะสานสัมพันธ์ทำกิจกรรมในม่านมุ้งกับภรรยาสักที
เนื่องจากตัวเขานั้นห่างหายเรื่องอย่างว่ามานานหลายสัปดาห์แล้ว ก่อนหน้านี้ก็ต้องเตรียมตัวย้ายบ้าน เข้ามาอยู่บ้านใหม่ไม่นาน เหอวาวาก็ล้มป่วยลง ด้วยรักภรรยายิ่งกว่าชีวิต เมื่อหญิงสาวล้มป่วยเขาก็ไม่อยากรบกวน ไม่แม้แต่จะขยับเข้าไปกอดดั่งเช่นทุกคืนที่ผ่านมา ด้วยเกรงว่าภรรยาคนงามจะนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ตัวเขาที่ไม่ได้นอนกอดภรรยา จินเหอก็แทบจะนอนไม่หลับทั้งคืน
เสียงเรียกของลี่หยางที่ดังมาจากหน้าบ้าน ทำให้วาวาและจินเหอต้องเดินตามเสียงออกไปดู
“คุณแม่ คุณพ่อ ออกมาดูอะไรนี่สิครับ”
เมื่อเธอออกมายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน จึงได้เห็นขบวนของทหาร และรถขนเสบียงซึ่งกำลังค่อยๆ วิ่งผ่านหน้าบ้านของพวกเธอไปอย่างช้าๆ วาวารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี เพราะเมื่อไหร่ที่มีทหารเข้ามาเพ่นพ่านภายในเมือง อีกไม่นานก็คงจะเริ่มเกิดความวุ่นวาย
“ต่อไปถ้าไม่จำเป็นอย่าออกไปนอกบ้านกันบ่อยๆ นะลูก แม่อนุญาตให้ไปได้ถึงแค่บ้านป้าจูเท่านั้น อีกอย่างห้ามรับของและห้ามไปไหนกับคนแปลกหน้า เพราะพวกเขาจะขโมยลูกไปขาย ต่อไปลูกก็จะไม่เจอพ่อกับแม่อีก เข้าใจที่แม่บอกไหมคะ” เหอวาวาก้มลงสั่งสอนลูกทั้งสามคน เด็กดีอย่างพวกเขาจึงพยักหน้ารับบ่งบอกว่าเข้าใจ
“ของกินคงไม่มีใครเอามาให้เราหรอกครับแม่ เพราะตอนนี้แม้แต่ป้าจูเองก็บอกไว้ว่าไม่มีแป้งที่จะแบ่งมาให้คุณแม่แล้วล่ะครับ”
วาวาได้ยินเสียงลูกชายคนโตเอ่ยออกมาแบบนั้นก็รู้สึกกังวลตามคำของเด็กชาย ลี่หยางออกจะพูดเก่งกว่าลี่หยวน แต่ทุกอย่างก็น่าจะเป็นไปตามที่เด็กชายพูดขึ้นมา เพราะหลายวันมานี้เธอรบกวนป้าจูให้หาแป้ง และวัตถุดิบที่จะใช้ทำเกี๊ยวให้แตกต่างจากเกี๊ยวทั่วไป แล้วกว่าที่การทดลองของเธอจะเกิดผลสำเร็จ ก็เชื่อว่ายังจะต้องใช้แป้งอีกจำนวนมาก
“วัตถุดิบเริ่มร่อยหรอเหรอ พวกทหารก็ดูเหมือนจะเพ่นพ่านในเมืองมากขึ้นทุกที ลองพวกเขาเข้ามาในเขตพื้นที่นี้แล้วต่อไปเชื่อว่าจะต้องมีปัญหาตามมาในไม่ช้า” วาวาเปรยออกมาเมื่อได้ยินลี่หยางตอบมาเช่นนั้น
“ผมว่าเราน่าจะไปกักตุนวัตถุดิบเอาไว้ก่อนจะดีกว่า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา” จินเหอเสนอความเห็นขึ้นบ้าง
“แต่เรามีเงินไม่มากพอ นี่ล่ะค่ะปัญหาใหญ่”
เมื่อพูดถึงเรื่องเงิน จินเหอก็ทำหน้าคิดมาก เพราะก่อนที่เขาจะออกมาจากบ้านใหญ่ เงินก้อนสุดท้ายที่พ่อบุญธรรมให้เขามานั้น ก็หมดไปกับการโยกย้าย ซื้อเครื่องใช้เครื่องครัวในบ้าน และซื้ออาหารเพื่อนำมาเลี้ยงดูคนในครอบครัว อีกทั้งเหอวาวาล้มป่วยหลายวันเขาจึงไม่ได้ออกไปทำงาน จึงใช้เงินที่พอจะมีติดตัวไปแทบจะหมดแล้ว
“ผมไม่อยากให้คุณต้องเหนื่อยอีกแล้ว เอาแบบนี้ดีไหม เดี๋ยวเรามาลองทำอะไรขายกันเล็กๆ น้อยๆ หน้าบ้านก่อน บางทีอาจจะเอามาเป็นทุนในการขายเกี๊ยวได้”
“เป็นความคิดที่เยี่ยม แต่เราจะทำอะไรกันดี มันถึงจะสามารถเรียกลูกค้าได้ล่ะคะ”
“เมื่อหลายวันก่อนคุณแม่ทำเป็ดของป้าจูได้อร่อยมาก ทำไมคุณแม่ไม่ลองซื้อเป็ดของป้าจูมาทำอาหารขายละครับ” ลี่หยวน แฝดคนน้องที่ยืนฟังพ่อกับแม่ปรึกษาหารือกัน ถึงแม้ตัวเขาจะเป็นเด็กที่ไม่ค่อยพูด แต่เมื่อเขาได้ออกความคิดเห็นก็ทำให้จินเหอกับวาวาหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
“เก่งมากครับ หยวนหยวน” เหอวาวาหันไปยกนิ้วโป้งให้ลูกชายคนรอง
“หยวนหยวน เก่งที่สุด” ลี่หยางเอ่ยชมน้องชายบ้าง
“หนูเห็นด้วย” ลี่จินลูกสาวคนเล็กอยากได้คำชมบ้างจึงแสดงความเห็นของตนเองออกไป
“ลี่ลี่ก็เก่งมากครับ” เป็นจินเหอที่ลูบลงไปบนผมของลูกสาวคนเล็กพลางเอ่ยชมออกมา