บทที่2
ณ จวนคหบดีที่มั่งมีและมั่งคั่ง เสียงกรีดร้องโหยหวนราวกับร่างกายถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ สร้างความตื่นตระหนกละคนหวาดหวั่นให้ผู้ที่เฝ้ารออยู่ด้านนอกยิ่งนัก แต่กระนั่นก็ไม่อาจเข้าไปดูให้เห็นกับตาตัวเองได้ เมื่อเสียงโอดครวนเจ็บปวดทรมานสิ้นสุดลง เสียงร้องไห้จ้าของทารกน้อยก็ดังขึ้น หลิงที่มาอาศัยอยู่ในท้องของมารดา จนกระทั่งครบกำหนดคลอด ทารกน้อยพยายามดิ้นรนตะเกียดตะกายเอาหัวดุนดันช่องเล็กแคบ ผลักดันตัวเองให้หลุดพ้นเพื่อให้ตัวเองได้หายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น จนกระทั้งหัวเล็กๆหลุดพ้นออกมาจากช่องเล็กแคบนั้น ก่อนจะถูกมือใครสักคนดึงและถูกแรงเบ่งจากผู้เป็นมารดาพลักให้หลุดออกมาทั้งตัว เมื่อเป็นอิสระ อากาศบริสุทธิ์กระทบปอดเล็ก ทารกน้อยจึงร้องไห้จ้าดังลั่นสนั่นเรือน กอบโกยเอาอากาศบริสุทธิ์ให้เข้าไปเต็มปอด จ้าวหลวนซุนชายหนุ่มวัยยี่สิบห้า ขายาวๆรีบก้าวเข้าไปภายในห้องที่ใช้ทำคลอดให้กับภรรยาอันเป็นที่รัก ไป๋หนิงอัน หรือจ้าวหนิงอัน เมื่อเข้ามาภายในห้องเสียงร้องไห้ของทารกน้อยยังคงดังระงม สาวใช้คนสนิทของจ้าวหนิงอัน อิงอิงหลังจากทำความสะอาดคุณหนูตัวน้อยเสร็จสิ้นแล้วก็ไม่รู้จะทำยังงัย เพราะทารกน้อยในอ้อมแขนยังคงร้องไห้จ้า แผดเสียงร้องไม่เกรงใจใคร แถมยังดิ้นไม่อยู่เฉย หลิงที่ตอนนี้ได้อยู่ในร่างของทารกน้อย กำลังระบายความอัดอ้น ที่ต้องอุดอู่อยู่ในท้องนานเกือบปี จึงกรีดร้องดิ้นลน เพื่อจะเหยียดแข้งเหยียดขา บรรเทาอาการเหมือนขบแต่เสียงที่เปล่งออกมากลับเป็นเสียงร้องไห้ อิงอิงเมื่อเห็นจ้าวหลวนซุนเดินเข้ามาก็ไม่รอช้า รีบก้าวเร็วเร็วเจ้าไปหาชายหนุ่ม พร้อมกับยืนทารกน้อยในอ้อมแขนที่แหกปากร้องลั่นไปให้
"คุณชาย เป็นคุณหนูเจ้าค่ะ"รอยยิ้มยินดีปรากฏบนใบ้หน้าของสาวใช้ จ้าวหลวนซุนก้มลงมองดูทารกน้อยในห่อผ้า ที่ยังคงเปล่งเสียงร้องไห้ไม่มีวีแว่วว่าจะหยุด ก่อนหัวคิ้วจะขมวดมุ่น คุ้นคิด และเอ่ยชื่อๆหนึ่งขึ้นมา
"จ้าวหลานหลิง"ก่อนจะยืนมือไปรับทารกน้อยมาไว้ในอ้อมแขนอย่างเก้ๆกังๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ
"เสียงร้องไห้ของเจ้าชั่งดังกังวาลยิ่งนักชื่อนี้เหมาะกับเจ้าแล้ว"ว่าจบขายาวๆก็ก้าวอาดๆพร้อมกับทารกน้อยในอ้อมแขนมุ่งตรงไปยังเตียงที่ภรรยาอันเป็นที่รักนอนอยู่ทันที และทันทีที่ทารกน้อยได้ยินเสียงของผู้เป็นบิดาเสียงที่กำลังจะแผดร้องด้วยความอัดอั้นเป็นอันต้องหยุดชะงักและต้องมองหาต้นเสียงถึงแม้ดวงตาจะยังมืดสลัวรางแต่หลิงก็รับรู้ได้จากน้ำเสียงที่เปล่งออกมาของบิดาคนใหม่ที่มีทั่งความปิติยินดี ความรัก ความอบอุ่นและความอ่อนโยนที่ถูกถ่ายทอดผ่านทางน้ำเสียง และการรับตัวนางจากสาวใช้หลิงจึงหยุดโวยวายทันทีทำเพียงนอนนิ่งๆอยู่ในอ้อมแขนของบิดา จ้าวหลวนซุนเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆจ้าวหนิงอัน
"เป็นอย่างไร้บ้างยังเจ็บอยู่อีกรึไม่" น้ำเสียงอ่อนโยนที่ถูกเปล่งออกมาบ่งบอกถึงความรักความห่วงใยที่มีต่อภรรยาได้เป็นอย่างดี หญิงสาววัยเพียงยี่สิบปีที่นอนอยู่บนเตียงมองดูสามีและลูกน้อย ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มถึงจะดูอิดโรยและซีดเซียวไปบ้างก็ตาม
"ไม่เจ็บแล้วเจ้าค่ะ "หญิงสาวเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มชะเง้อคอมองทารกน้อยในอ้อมแขนผู้เป็นสามีแล้วเอ่ยอีกว่า
"ไม่ร้องแล้วหรือ"หลิงที่อยู่ในร่างของทารกน้อยได้ยินเสียงเย้าจากผู้เป็นมารดาจึงหันควับตามเสียงที่ได้ยินพร้อมกับแยกเขี้ยวยินฟันใส่ด้วยความไม่พอใจแต่สิ่งที่เห็นกลับตรงกันข้าม กลายเป็นว่าเด็กน้อยส่งยิ้มโลกละลายแต่สายตาขุ่นเคืองช่างดูน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก เรียกเสียงหัวเราะจากทั้งสองได้เป็นอย่างดี
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วหลายวันดวงตาที่เคยมืดสลัวของหลิงก็ค่อยๆแจ่มชัดขึ้น และมองเห็นได้ถนัด ดวงตาใส่แจ๋วที่กำลังจ้องมองบุรุษและสตรีที่อยู่เบื้องหน้า ที่ผ่านมาได้ยินเพียงเสียง เพราะดวงตายังคงพร่ามัว แต่วันนี้เห็นแล้ว บุรุษและสตรีที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดามารดา ของนางในหัวเล็กประมวลผลเร็วจี๋ภาพที่เห็นอยู่นี้ใช่หลุดออกมาจากนิยายที่เคยอ่านหรือไม่ ช่างงดงามและหล่อเหลายิ่งนักเสียงพูดคุยหยอกล้อที่ถูกส่งมาให้ผู้ใหญ่ในร่างทารก หลานหลิงจึงไม่อาจอยู่เฉย จึงส่งเสียงอ๊อกแอกอ้อแอ้กลับไปให้สร้างความปราบปลื้ม ให้แก่บิดามารดายิ่งนัก
ตระกูลจ้าวเป็นตระกูลคหบดีที่มั่งมีเป็นอันดับต้นๆของทั้งเจ็ดแคว้นเลยก็ว่าได้ สามแคว้นมหาอำนาจอย่าง หาน, เหลี่ยง, ซาน,สี่แคว้นเล็ก อย่าง จิ้ง, อัน , ป๋อ, เหอ และยังมีชนเผ่าขนาดเล็กอีกจำนวนไม่น้อยที่ผู้นำตระกูลจ้าวอย่างจ้าวหย่งเหอเดินทางไปทำการค้าด้วยสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับตระกูลจ้าว จ้าวหย่งเหอมีบุตรชายเพียงคนเดียวคือจ้าวหลวนซุน มีภรรยาเอกเพียงคนเดียวคือจ้าวหนานอิง และตระกูลจ้าวยังมีกฏเหล็กอยู่หนึ่งข้อคือห้ามบุรุษทุกคนในทุกรุ่นรับอนุเข้าบ้านหากฝ่าฝืนจะถูกขับออกจากตระกูล เมื่อภรรยาของบุตรชายให้กำเนิดบุตรคนเเรกสร้างความปิติยินดีให้กับจ้าวหย่งเหอและจ้าวหนานอิงยิ่งนัก ด้วยเป็นหลานคนแรก จึงคิดที่จะจัดงานเลี้ยงฉลอง ครบหนึ่งร้อยวันให้กับทารกน้อย