บทที่ 1 อาจารย์แม่ทั้งสาม
ภูเขาชิงเฟิง!
“เสี่ยวฝาน ลงเขาครั้งนี้อย่าได้ยอมใคร กวัดแกว่งดาบจัดการมันได้ตามใจชอบ อย่าได้ฆ่าให้ตายในดาบเดียว”
“ถ้าเกิดอะไรขึ้น อาจารย์แม่จะรับมือแทนนายเอง”
หญิงสาวผู้ซึ่งยังคงมีกิริยาท่าทางอันงดงามกำชับอย่างจริงจัง
หญิงสาวผู้นี้ดูคล้ายจะอายุสามสิบเศษ มีรูปร่างอวบอั๋น ส่วนเส้นโค้งแลดูมีเสน่ห์
เด็กหนุ่มมีนามว่าเฉินปู้ฝาน เป็นเด็กกำพร้าที่อาจารย์พาขึ้นเขามาฝึกวิชาเมื่อตอนยังเล็ก
หลังจากขึ้นเขาได้ไม่นาน อาจารย์ก็เสียชีวิตลง เฉินปู้ฝานมีอาจารย์แม่ทั้งสามคนเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่
อาจารย์แม่ใหญ่เป็นคนสุขุมใจกว้าง สอนวรยุทธ์และวิชาการแพทย์ให้แก่เขา
อาจารย์แม่รองเป็นคนตัวเล็กและดุร้าย สอนให้เขารู้จักพิษ ใช้พิษ รวมไปถึงการทำยาพิษ
จากคำพูดของอาจารย์แม่รอง หากใช้ยาพิษแก้ปัญหาได้ก็วางยาพิษให้มันตาย พยายามอย่าได้ทะเลาะกัน
ผู้ชายก็ให้เขาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ร่างกายส่วนล่างโดนยาพิษจนเน่าเปื่อย!
ส่วนผู้หญิงก็ให้เธอมีประจำเดือนทุกวัน สามร้อยหกสิบห้าวันต่อปีไม่มีหยุด
สำหรับส่วนอาจารย์แม่สามก็คือคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ถ่ายทอดวิชาให้ค่อนข้างหลากหลาย ดูเหมือนเธอจะรู้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพิณกู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีน ภาพวาดจีน การทำนายหรือดูโหงวเฮ้ง...
ในบรรดาอาจารย์แม่ทั้งสาม นอกเสียจากอาจารย์แม่ใหญ่ที่นิสัยค่อนข้างดีแล้ว ที่เหลือสองคนเป็นคนอารมณ์ร้อนอย่างยิ่ง
เฉินปู้ฝานก็เคยโดนสองคนนี้อบรมสั่งสอนมาไม่น้อย
โดยเฉพาะอาจารย์แม่รองที่เอะอะอะไรก็จะวางยาพิษ จะท้องเสีย หรือเลือดกำเดาไหลก็มักเป็นเรื่องปกติ
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ คุณกล้าจินตนาการการเข้มแข็งไว้เป็นเวลาหนึ่งเดือนไหม? ชนิดที่เกิดขึ้นตลอดเวลาอย่างนั้น
“ผมรู้แล้วครับ อาจารย์แม่” เฉินปู้ฝานพยักหน้ารับอย่างเอาจริงเอาจัง
“เสี่ยวฝาน มานี่หน่อย” อาจารย์แม่ใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เฉินปู้ฝานได้ยินดังนั้นจึงเดินเข้าไปหา
“นี่เป็นของนาย หลังจากอาจารย์ของนายเสียชีวิตไป ฉันเป็นคนเก็บรักษามาโดยตลอด” อาจารย์แม่ใหญ่หยิบจี้หยกกระจ่างใสออกมาจากหน้าอก
“มันเป็นของสิ่งเดียวที่นายมีติดตัวก่อนที่นายจะมาฝึกวิชาที่นี่กับเรา บางทีมันอาจช่วยให้เจ้าหาครอบครัวของตัวเองเจอได้”
เฉินปู้ฝานรับจี้หยกมา มันละเอียดเรียบเนียนและโปร่งใส พร้อมกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไม่มีวันสิ้นสุด มีตัวอักษรเล็กๆ หนึ่งตัวสลักอยู่บนนั้น คือคำว่า เฉิน!
นี่ก็เป็นที่มาที่เฉินปู้ฝานแซ่เฉิน!
“นอกจากนี้ หลังจากนายออกไปจากที่นี่แล้วไม่มีที่พัก ก็ไปหาศิษย์พี่ใหญ่ก่อน”
"ครับ!"
เฉินปู้ฝานมีศิษย์พี่หญิงสี่คน เมื่อตอนเด็กๆ พวกเขาอยู่ด้วยกันทุกวัน พวกเธอลงจากเขาไปเมื่อสี่ปีที่แล้ว หลังจากแยกย้ายจากกันก็ไม่ได้พบหน้าพบตากันอีกเลย
“ปู้ฝาน จำไว้ว่านายเป็นศิษย์ของจอมปราบคู่หมอบู๊ ด้วยชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของเขา นายอย่าได้ทำให้เสียหน้าเสียละ”
"เข้าใจแล้วครับ!"
“ส่วนเรื่องอื่น ๆ อาจารย์จะยังไม่บอกนายในตอนนี้” อาจารย์แม่ใหญ่ยิ้มพลางลูบศีรษะของเฉินปู้ฝานด้วยนิ้วสีขาวราวกับต้นหอมอย่างแผ่วเบา
“อาจารย์แม่ ท่านมีเรื่องในใจ ถึงท่านจะไม่บอก แต่ผมก็พอจะเดาได้บ้าง” เฉินปู้ฝานมองเธอด้วยดวงตาสดใสและมีชีวิตชีวา “เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับท่านอาจารย์ใช่หรือไม่ครับ?”
“อืม!” อาจารย์แม่สีหน้าดูสงบนิ่ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย “อาจารย์ของนายเสียชีวิตกะทันหัน เป็นเพราะพิษลับชนิดหนึ่งออกฤทธิ์ ชื่อว่ายาพิษสลายวิญญาณ ซ่อนแฝงอยู่ในร่างกายมาเป็นเวลานานแล้ว”
“ถึงแม้อาจารย์แม่รองจะได้ชื่อว่าราชินีแห่งพิษ แต่ก็ไม่อาจจะค้นพบได้ทันเวลา”
“ในเมื่อนายพอจะเดาเรื่องนี้ได้แล้ว ก็ค่อย ๆ ตรวจสอบเรื่องนี้เถิด”
อาจารย์แม่ใหญ่ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้เพราะกลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
อีกฝ่ายสามารถวางยาพิษอาจารย์เฉินปู้ฝานโดยที่ไม่รู้ตัวได้ แค่คิดก็รู้ว่าวิธีการนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน
“ตกลงครับ!” เฉินปู้ฝานตอบกลับ
“นี่คือบัตรธนาคาร และโทรศัพท์มือถือของนาย ตอนนี้ก็ลงเขาไปเถิด”
“อาจารย์แม่ครับ ก่อนที่ศิษย์จะลงจากเขาไปจะไม่กอดสักหน่อยหรือครับ?” เฉินปู้ฝานเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะฮิฮิ
“เด็กน้อยเอ้ย” อาจารย์แม่ใหญ่ยื่นแขนที่เหมือนรากบัวออกมาดึงเฉินปู้ฝานเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเธอ
“ พี่ใหญ่ พี่จะกินคนเดียวอย่างนั้นหรือ พี่เรียกเสี่ยวฝานเข้าไปหาก็เพื่อเอาเปรียบเขาสินะ?”
“ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะกอดเสี่ยวฝานของฉันด้วยเหมือนกัน”
“เรื่องแบบนี้จะขาดฉันได้ไงกัน!”
อาจารย์แม่ทั้งสามดีต่อเฉินปู้ฝานเป็นอย่างยิ่ง และยังรักเขามากด้วย แต่เมื่อถึงเวลาควรจะอบรมสั่งสอนก็ไม่ใจอ่อนแม้แต่น้อย
หลังจากกอดกันเสร็จ เฉินปู้ฝานก็เดินลงจากภูเขาอย่างพึงพอใจ
“พี่ใหญ่ พอเสี่ยวฝานไปแล้วก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์เขาอยู่บ้างจริง ๆ ” อาจารย์แม่รองเปลี่ยนจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนานมาทำสีหน้านิ่งขรึม
ทั้งสามคนยืนอยู่บนยอดเขา มองแผ่นหลังบอบบางค่อย ๆ เลือนหายไป
“นั่นน่ะสิ เขาอยู่กับเรามานานสิบกว่าปีแล้ว”
“แต่เจ้าเด็กโง่คนนี้ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มักเป็นหนาม คาดว่าอาจจะทำให้หลายคนปวดหัวได้ ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วง”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ดูสิว่าลูกศิษย์คนนี้ใครเป็นคนสอนออกมา” อาจารย์แม่รองยืดตัวตรง แล้วพูดอย่างภาคภูมิใจ
“ภูผาสูงยังมีที่สูงกว่า พรสวรรค์ของเสี่ยวฝานไม่เลวเลย และเป็นคนขยันมาก แต่ก็ต้องมีคนที่มีความสามารถอันน่าทึ่งจะคอยข่มเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” อาจารย์แม่ใหญ่เอ่ยอย่างนิ่งสงบ
อาจารย์แม่สามหัวเราะ "ฉันมอบป้ายคำสั่งคืนมืดมิดให้เขาแล้ว ต่อไปใครจะกล้ารังแกเขา"
อาจารย์แม่รองเลิกคิ้ว "พี่รองให้ป้ายคำสั่งคืนมืดมิดเขาไปโดยไม่เสียดายจริง ๆ เหรอ”
“ไร้สาระ! ฉันเป็นอาจารย์แม่ของเขา ถ้าไม่ให้เขาแล้วจะให้ใครกันล่ะ ไม่ช้าก็เร็ว ป้ายคำสั่งคืนมืดมิดก็จะต้องส่งให้เขาอยู่ดี”
“เจ้าเด็กนั่นก็ไปแล้ว น่าเบื่อชะมัด มาเล่นไพ่กันดีกว่า ใครแพ้จะต้องถอดเสื้อผ้าออกหนึ่งชิ้น” อาจารย์แม่รองกะพริบตา
เล่นสนุกจริงๆ!
“เธอเล่นเองก็แล้วกัน ฉันจะไปอาบน้ำ” อาจารย์แม่ใหญ่มองบน ก่อนหมุนตัวเดินจากไป
“เด็กนั่นไปแล้วจะกลัวอะไร ถึงยังไงก็ไม่มีใครเห็นอยู่ดี”
…
หลังจากที่เฉินปู้ฝานลงจากเขา ก็นั่งรถไปเมืองซู
เพราะศิษย์พี่ใหญ่อยู่ในเมืองซู เธอชื่อถานไถฮ่าวเยว่ และดูเหมือนว่าเธอจะเป็นประธานของบริษัทฮ่าวเยว่ กรุ๊ป
ปีนี้อายุยี่สิบสามปี และไม่มีใครในเมืองซูที่ไม่รู้จักเธอ
ศิษย์พี่รองเป็นหมอ ชื่อว่านเยียนหราน เธอเป็นที่รู้จักในฐานะแพทย์ฝีมือดีระดับประเทศ และมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการแพทย์
ศิษย์พี่สามเป็นศิลปิน ชื่อของเธอคือกู้ชิงเฉิง เธอโด่งดังไปทั่วประเทศเมื่อสองปีก่อน มีฉายาว่าเทพธิดาสุดเย็นชา
ศิษย์พี่สี่ชื่อหลิ่วหรูเสวี่ย ทำตัวลึกลับมาโดยตลอด ไม่มีใครรู้ว่าเธอทำอะไรนอกจากอาจารย์แม่
เฉินปู้ฝานก็ไม่มีข้อยกเว้น
บนรถไฟ เฉินปู้ฝานนั่งหลับตางีบหลับ
คนที่นั่งตรงข้ามกับเขาคือหญิงสูงวัยที่แต่งหน้าจัดจ้าน สวมเสื้อคอลึก กระโปรงสั้น ทรงผมดัดลอน
อายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบปี อายุปูนนี้แล้ว แต่งกายก็ยังมีกลิ่นเหม็นปานนี้
กลิ่นน้ำหอมคุณภาพต่ำบนตัวของเธอช่างทำให้คนรู้สึกทรมานเป็นอย่างยิ่ง
ผู้หญิงคนนั้นมีความโอหังอวดดี และมักจะรู้สึกว่าตนอยู่สูงกว่าผู้อื่นขั้นหนึ่ง
เธอเหลือบมองเฉินปู้ฝานที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยสายตาเหยียดหยาม และมองบน
ในใจแอบดูถูกเขา เจอคนจนอีกแล้ว สวมเสื้อคลุมตัวยาว สะพายถุงผ้าขาด ๆ บนไหล่ เที่ยวระเหเร่ร่อนไปขายศิลป์สินะ?
ที่สำคัญก็คือยังนั่งตรงข้ามกันอีก
แค่มองก็อารมณ์เสียแล้ว
ขณะที่รถไฟกำลังวิ่ง มือถือของเฉินปู้ฝานก็ดังขึ้น จึงเอาขาที่นั่งไขว่ห้างลง ก่อนจะชนเข้ากับผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามโดยไม่ทันระวัง
“นายทำอะไร” ผู้หญิงคนนั้นโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ลุกขึ้นยืน “คิดจะเอาเปรียบฉันเหรอ?”
เฉินปู้ฝานขมวดคิ้ว “คุณคิดมากเกินไปหรือเปล่า?”
“คิดมากเหรอ? แล้วทำไมนายถึงแอบมาถูตรงขาของฉัน? เอาเปรียบแล้วยังไม่กล้ายอมรับ ไอ้คนขี้ขลาด ลามก!”
“เฮ้ย ผมว่าคุณป่วยหรือเปล่า” เฉินปู้ฝานโต้กลับอย่างไม่พอใจ
“นายว่าใครป่วย? ทั้งครอบครัวของนายสิป่วย” ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองด้วยความโกรธ ชี้ไปที่จมูกของเฉินปู้ฝานและตะโกนเสียงดัง
“คุณแน่ใจเหรอว่าคุณไม่ป่วย” เฉินปู้ฝานเหลือบมองอีกฝ่ายแล้วพูดอย่างเกียจคร้าน
“ถ้าผมดูไม่ผิด ปัสสาวะของคุณมีสีเหลือง ร่างกายส่วนล่างมีกลิ่นเหม็น ปวดปัสสาวะรีบเร่ง ปวดปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่สะอาด”
“นาย...นาย...” ดวงตาของผู้หญิงคนนั้นเบิกกว้าง ใบหน้าของเธอพลันแดงก่ำในพริบตา
“ไม่ทราบว่าผมพูดถูกหรือเปล่า?”
“พูดเพ้อเจ้อ!” หญิงวัยกลางคนไม่ยอมรับ
“โรคของคุณไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อาจจะตายได้”
เฉินปู้ฝานหลับตาและพูดอย่างเนิบนาบ
“คุณมีเวลาเหลือไม่มาก เพราะอยู่ในระยะปลายแล้ว เตรียมงานศพเถอะ”
คำพูดของเขาจริงกึ่งหนึ่ง เท็จกึ่งหนึ่ง เป็นเรื่องจริงที่เธอมีโรค แต่ก็ไม่ถึงขั้นจะต้องเตรียมงานศพ
ก็แค่หลอกให้ตกใจกลัวเท่านั้น
“เป็นไปไม่ได้!” เสียงของหญิงคนนั้นสั่นระริก เห็นได้ชัดว่าเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา
เธออ้าปากคิดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นสีหน้าของเธอฉายแววทุกข์ทรมาน ขาทั้งสองหนีบแน่น แล้วรีบร้อนเดินจากไป
“เชอะ! มาหาเรื่องผม หาเรื่องใส่ตัวชัด ๆ ”
เฉินปู้ฝานมองแผ่นหลังแล้วพูดอย่างเหยียดหยาม
ผ่านไปไม่นาน หญิงคนนั้นก็กลับมา
“เมื่อกี้ปวดปัสสาวะรีบเร่งจนเกือบจะฉี่รดกางเกงแล้วใช่ไหม?” เฉินปู้ฝานยิ้มตาหยีแล้วเอ่ยถาม