2 เอาของไปขายตลาด - 1
เอาของไปขายตลาด
“ท่านพี่ ท่านพี่ทำอะไรหรือขอรับ”
เด็กชายตัวน้อยกระตุกชายผ้าของเจียอียืนเรียกอยู่ข้าง ๆ เจียอีหันกลับมามองอันฉีก็ยิ้มให้นางอย่างสดใส เด็กน้อยผู้นี้น่ารักน่าชังเสียจริง เช่นนั้นเขาก็คงจะเป็นน้องชายนางเป็นแน่ เมื่อวานในตอนที่นางสะลึมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่นได้ยินเขาเรียกลู่เสียนว่าแม่ เจียอีก้มลงนั่งยอง ๆ ต่อหน้าอันฉีแล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“น้องพี่ พี่เพิ่งฟื้นขึ้นมาอาจจะหลง ๆ ลืม ๆ ไหนเจ้าลองบอกพี่มาทีว่าเจ้ามีชื่อว่าอย่างไร”
“ข้าชื่ออันฉี ท่านพี่ชอบเรียกข้าว่าอาฉี”
“แล้วหญิงสองคนนั้นมีชื่ออย่างไร”
“ท่านแม่ชื่อลู่เสียน ท่านยายชื่อหวังจื่อรั่วขอรับ”
“แล้วบ้านนี้อยู่กันกี่คน มีเท่านั้นนะหรือ”
“ยังมีท่านตาอีกขอรับ ท่านตาชื่อเจียงตงซิ่ว ข้าได้ยินท่านยายคุยกับท่านแม่ว่าท่านตาไปล่าสัตว์กับเพื่อนบ้าน ไม่แน่ใจว่าจะกลับวันไหนขอรับ”
“อืม เข้าใจแล้ว”
ในเมื่อกลับไปโลกปัจจุบันไม่ได้แล้ว เจียอีก็ขอใช้ชีวิตใหม่ ณ ที่แห่งนี้ให้ดี ดีเหมือนกันได้กลับมาเป็นเด็กสาวอีกครั้ง แม้ทุกอย่างจะอัตคัดขัดสน อย่างไรครอบครัวนี้ก็ดูอบอุ่นมากกว่าครอบครัวในยุคปัจจุบันของนางมากนัก มีแม่และยายที่รักใคร่เอ็นดู และมีน้องชายที่น่ารัก ถึงสภาพความเป็นอยู่ครอบครัวจะไม่ได้ร่ำรวยก็ไม่เป็นอะไร
“เหตุใดบนตัวข้ากับเจ้าถึงได้มีรอยเขียวช้ำไปทั้งตัวแบบนี้เล่า”
“เมื่อวานนี้พอท่านพ่อจากไป ท่านแม่กับพวกเราก็ถูกไล่ออกมาจากตระกูลหลิน พวกเราทั้งสามถูกท่านลุงฮุ่ยเฟิน ท่านป้า และลูก ๆ ของท่านลุงตีขอรับ”
“เลวทรามต่ำช้านัก! มารดามันเถอะ!”
เจียอีสบถออกมาด้วยความโมโห จนเด็กน้อยที่ยืนข้าง ๆ สะดุ้งกับท่าทีของพี่สาวที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต ปกติเจียอีเงียบขรึมเรียบร้อยพูดน้อย เป็นเด็กสาวที่พูดจาไพเราะน่าฟัง และมักจะสำรวมอาการอยู่เสมอ เพราะถูกลู่เสียนอบรมสั่งสอนมาอย่างดีให้นอบน้อมถ่อมตน แต่หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้วบุคลิกของนางแปลกไปราวกับคนละคน
“เจ้าเด็กน้อย เอ่อ เจ้ามีชื่อว่าอะไร อาฉี ใช่ ใช่อาฉี คนอื่นไปไหนกันหมดล่ะ”
“ท่านแม่กับท่านยายเข้าป่าไปเก็บของป่าก็เลยสั่งให้ข้าช่วยดูท่านพี่ขอรับ”
“อ๋อ อื้ม เช่นนั้นมีอะไรกินบ้าง ข้าหิวจนไส้จะขาดแล้ว”
“ท่านพี่หิวหรือขอรับ”
เด็กชายตัวน้อยเดินนำหน้าเข้าไปในครัว บนเตาถ่านที่ไฟดับสนิทแล้วมีหม้อดินตั้งอยู่ เจียอีไม่รอช้ารีบเข้าไปเปิดดู พบว่าข้างในคือโจ๊กข้าวฟ่างใส่ผักที่เติมน้ำเข้าไปจนโหรงเหรง มองดูแล้วคล้ายอาหารหมูเสียมากกว่า เจียอีจึงปิดฝาหม้อดินไว้ตามเดิม นางกลืนน้ำลายฝืด ๆ ลงคอแล้วเบือนหน้าหนี
“อาฉี นี่หรืออาหารที่เจ้ากิน”
“ขอรับท่านพี่ เมื่อเช้านี้ข้ากินโจ๊กนี่ ท่านแม่บอกว่าบ้านท่านยายยากจนนัก เราจะใช้ชีวิตเหมือนตอนที่อยู่บ้านหลินไม่ได้ ท่านพี่ก็กินเถิดขอรับเดี๋ยวข้าจะไปนำน้ำมาให้”
หลินอันฉีเดินออกไปจากห้องครัว เจียอีได้แต่ถอนหายใจลากยาว คว้าเอาถ้วยมาตักโจ๊กข้าวฟ่างแล้วยกซด เมื่อโจ๊กเข้าไปในปากนางก็อาเจียนออกมาในทันทีพร้อมกับไอสำลัก โจ๊กข้าวฟ่างที่รสชาติแย่แบบนี้เจียอีไม่เคยกินมาก่อน ในยุคปัจจุบัน ถึงจะขัดสนเงินทองมากแค่ไหน ในยุคนั้นบะหมี่สำเร็จรูปราคาถูกยังพอจับจ่ายหาซื้อมาได้ แถมมีรสชาติดีกว่าโจ๊กเหลว ๆ นี่สามสี่เท่า จะให้เรียกว่าน้ำต้มข้าวไปเลยก็พอจะได้ โชคดีที่อันฉีเดินถือกาน้ำดื่มมาพอดีนางจึงรีบเอามายกดื่มล้างปาก
ไม่ได้การแล้ว...เดิมทีนางคิดว่าทะลุมิติเข้ามาในครอบครัวที่ไม่ร่ำรวยก็ไม่เป็นไร แต่ดูเหมือนครอบครัวนี้จะยากจนเกินไป หากอยากมีชีวิตอยู่รอดก็จะต้องหาเงินสำรองไว้ ในยุคสมัยที่ผู้คนอดอยาก ปัจจัยสี่กลายเป็นปัญหาใหญ่ของครอบครัวที่มีต้นทุนต่ำ
“ท่านพี่ดีขึ้นบ้างหรือไม่ขอรับ”
“พี่ดีขึ้นแล้ว ขอบใจเจ้ามาก น้ำดื่มนี่รสชาติประหลาดนัก”
“น้ำดื่มนี่ข้าไปตักมาจากบ่อน้ำหลังบ้าน”
“เช่นนั้นเราควรจะเอามาต้มฆ่าเชื้อโรคก่อนเอามาดื่ม บ่อดินไม่สะอาด เชื้อโรคปนเปื้อนมาก็กินไม่ได้ ในยุคที่ผู้คนอดอยากแบบนี้หากเกิดโรคระบาดขึ้น การที่ยารักษาโรคดี ๆ จะเข้าถึงนั้นอย่าหวัง เพราะฉะนั้นเราก็ควรใส่ใจเรื่องอาหารการกินให้มากขึ้น”
น้องชายตัวน้อยเอียงคอสงสัย เขาไม่เคยรู้จักว่าสิ่งใดคือเชื้อโรค
“สิ่งใดคือเชื้อโรคหรือท่านพี่ ทำไมเราถึงกินเชื้อโรคไม่ได้ มันไม่อร่อยหรือขอรับ”
“โธ่ เด็กน้อย เชื้อโรคหรือจุลชีพก่อโรค คือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วอาจทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย หากเผลอกินเข้าไปเราอาจจะป่วยและอาจจะตายได้ เพราะฉะนั้นเราต้องฆ่าเชื้อโรคก่อน”
“ฆ่า? ...ทางการจะจับเราขังคุกไหมขอรับ”
