บทที่ 1 สมภารกินไก่วัด 1
เสียงตะหลิวกระทบกับกระทะดังไปทั่วห้องครัว กลิ่นผัดคะน้าน้ำมันหอยคละคลุ้ง ส่งกลิ่นหอมเย้ายั่วน้ำลายใครหลายคนที่กำลังช่วยรวิษาทำอาหารเย็น
“คุณมิ้นทำอาหารเก่งจังเลยนะคะ ใครในบ้านอยากทานอะไรคุณมิ้นทำได้หมด เก่งสุดยอดเลยค่ะอย่างนี้ไปเปิดร้านอาหารได้สบายๆ เลยค่ะ”
ก้อยสาวใช้ที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ได้เดือนเศษเอ่ยชมแม่ครัวประจำบ้านที่ทำอาหารได้หลากหลายชนิด หลากหลายเชื้อชาติ ดัดแปลงปรุงแต่งอาหารไม่ซ้ำชนิดอีกทั้งรสชาติยังอร่อยไม่เป็นสองรองใคร
“ก้อยก็พูดเกินไป ฉันไม่เก่งขนาดนั้นหรอก” รวิษาตอบกลับอย่างถ่อมตน
“อย่างนี้ไม่เรียกเก่งแล้วจะเรียกว่าอะไรคะคุณมิ้น?”
“เรียกว่าทำอาหารเป็นก็พอจ้ะ” แม่ครัวสาวหันมาพูด ก่อนจะตักผัดคะน้าน้ำมันหอยที่ปรุงรสเสร็จเรียบร้อยแล้วใส่จาน
“กลิ่นฮ้อมหอม...หน้าตาน่ากินอีกต่างหาก” ก้อยมองจานอาหารที่เพิ่งเสร็จใหม่ๆ หน้าตาและกลิ่นอาหารชวนให้น้ำลายสอยิ่งนัก
“ยกไปวางบนโต๊ะได้แล้วก้อย คุณท่านชอบทานร้อนๆ” รวิษาสั่งระหว่างที่นำกระทะไปล้าง ก้อยจึงนำอาหารจานสุดท้ายไปวางบนโต๊ะรับประทานอาหาร
บนโต๊ะอาหารของบ้านเนติรัตน์พิบูลในวันนี้ดูจะชื่นมื่นเป็นพิเศษ เนื่องจากลูกชายคนเล็กของเจ้าของบ้านเดินทางกลับมาเยี่ยมบุพการีในรอบหลายปี อาหารมื้อนี้จึงพิเศษกว่ามื้อไหนๆ คงจะมีเพียงอัคราพี่ใหญ่ของบ้านที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับ ไม่ปลื้มที่น้องชายต่างสายเลือดมาเหยียบบ้านหลังนี้
“วันนี้มิ้นทำกับข้าวของโปรดอาร์มทั้งนั้นเลยนะลูก ดูสิมีต้มข่าไก่ แกงเลียง แล้วยังมีปลากะพงทอดกระเทียมด้วย อาร์มต้องทานเยอะๆ นะลูก” อินทุอรหันมาพูดกับลูกชายคนเล็ก
“ครับคุณแม่ ผมจะทานหลายๆ จานเลยครับ” อัคคินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ทานเยอะๆ นะลูก นานๆ จะกลับมาที่บ้านซักที” อรรคเดชผู้เป็นบิดาพูดเสริม นำพาความหมั่นไส้มาสู่จิตใจของอีกคนอย่างเสียมิได้
“จะอะไรกันนักกันหนาครับ กะอีกแค่กาฝากกลับมาบ้านตัวเดียว พะเน้าพะนออย่างกับเด็กอมมือ เห็นแล้วอยากจะถีบให้ตกเก้าอี้”
อัคราที่ไม่ชอบหน้าน้องชายต่างสายเลือด พูดโพล่งกลางโต๊ะแล้วยังจะแยกเขี้ยวใส่อัคคินอีกด้วย อีกฝ่ายเห็นแล้วรีบก้มหน้าหลบสายตาของผู้เป็นพี่ทันที
“โอมทำไมไปพูดกับน้องแบบนั้น แม่ไม่ชอบนะ”
อินทุอรเอ่ยเสียงเขียว มองลูกชายด้วยสายตาตำหนิ อัคราทำเป็นมองไม่เห็นสายตาของผู้เป็นแม่ นั่งทานอาหารต่อไปทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“คุณแม่อย่าว่าคุณโอมเลยครับ คุณโอมแค่พูดเล่นน่ะครับ” อัคคินแก้ตัวแทนพี่ชาย ทั้งที่รู้เต็มอกว่าอัคราทำตามที่พูดได้เสมอ เพียงแต่จะทำหรือไม่เท่านั้น
“ฉันไม่ได้พูดเล่น ฉันพูดจริงโว้ย” อัคราโต้กลับทันควัน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะโอม ไม่เห็นหัวพ่อกับแม่เลยนะ”
เสียงใหญ่ของผู้เป็นพ่อดังคับโต๊ะ จ้องมองลูกชายคนโตเขม็ง อรรคเดชรู้ดีว่าอัคราชังหน้าอัคคินมากแค่ไหน แต่ไม่คิดว่าจะเกลียดถึงขั้นฝังหุ่น
“งั้นก็เชิญเอาใจมันไปคนเดียวก็แล้วกัน ผมขอตัวอยู่นานๆ เดี๋ยวจะอดใจไม่ไหว ซัดลูกรักลูกคนโปรดของคุณพ่อคุณแม่”
อัคราพูดจบก็ลุกเดินขึ้นไปชั้นบน ตรงไปที่ห้องของเขาทันทีก่อนที่จะอดใจไม่อยู่ซัดโครมน้องชายนอกไส้ของตัวเอง อัคคินหน้าหมองลงเมื่อรู้ว่าตนเองเป็นต้นเหตุให้พี่ชายอารมณ์เสีย และทำให้บิดามารดาลำบากใจ
“ผมผิดเอง ผมไม่น่ามาพักที่นี่เลย รู้ทั้งรู้ว่าคุณโอมเกลียดผม ผมน่าจะพักที่โรงแรม”
“อย่าไปใส่ใจโอมเลยลูก โอมก็เป็นอย่างนี้แหละ”
อินทุอรพยายามพูดปลอบใจ เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ของครอบครัวนางก็ว่าได้ เป็นปัญหาที่ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไรให้พี่ชายรักน้องชาย
“นั่นสิลูก อย่าไปสนใจโอมเลย อีกอย่างมันไม่ใช่ความผิดของอาร์มเลยนะ อย่าคิดมากนะลูก”
อรรคเดชพูดปลอบใจลูกชายคนเล็ก เรื่องทั้งหมดจะโทษอัคคินลูกชายคนเล็กของเขาไม่ได้ ต้องโทษที่ตัวเขาเอง เพราะเขาอยากมีลูกผู้หญิงและเปรยกับอินทุอรบ่อยครั้ง รู้ทั้งรู้ว่าภรรยาไม่สามารถมีลูกให้เขาได้เป็นคนที่สอง เนื่องจากมดลูกของอินทุอรอักเสบจนต้องผ่าตัดทิ้ง และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ความหวังที่จะได้ลูกสาวพังครืนลงทันที
หากแต่ด้วยความที่อินทุอรรักสามี และอยากได้ลูกผู้หญิงไว้เชยชมเช่นกัน นางจึงหาผู้หญิงให้อรรถเดชคนหนึ่งซึ่งเป็นญาติของนางเองชื่อประภา และให้เข้ามาอยู่ในฐานะภรรยาของอรรคเดชอีกคนหนึ่ง อีกสามเดือนต่อมาประภาได้ตั้งครรภ์ แล้วคลอดลูกออกมาเป็นผู้ชายสร้างความผิดหวังให้กับอรรคเดชไม่น้อย ทว่าเขาก็ไม่คิดที่จะมีทายาทเพิ่มและหยุดความสัมพันธ์ระหว่างตนกับประภานับตั้งแต่เธอคลอดลูก เนื่องจากห่วงความรู้สึกของอินทุอร แต่เขาก็ไม่คิดทอดทิ้งประภา ยังให้เธออาศัยอยู่บ้านหลังเล็กพร้อมกับเลี้ยงดูอัคคินไปด้วย
อัครารู้สึกไม่ชอบหน้าน้องชายตัวเองตั้งแต่เล็ก พยายามหาทางกลั่นแกล้งอยู่บ่อยครั้ง และดูเหมือนว่าผู้เป็นน้องชายหวาดกลัวผู้เป็นพี่เป็นอย่างมาก แม้ว่าจะเจียมตัวเจียมตน จนบางครั้งไม่อยากจะเข้าใกล้ จนกระทั่งมารดาของอัคคินเสียชีวิตลง อินทุอรจึงให้อัคคินเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่ในฐานะลูกชายของนาง ให้ความรักและความเอาใจใส่เสมือนลูกในอก และนั่นทำให้ความเกลียดชังในหัวใจของอัคราที่มีต่ออัคคินเพิ่มมากขึ้น เพราะอินทุอรผู้เป็นมารดาจะลงโทษเขาทุกครั้งที่รู้ว่าอัคราแกล้งน้อง
พออัคคินจบการศึกษาชั้นมัธยมปีที่หก ทั้งสองจึงตัดสินใจส่งอัคคินไปเรียนต่อต่างประเทศ ให้ศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรีและโท หลังจากที่เรียนจบชั้นปริญญาโทอัคคินขออนุญาติบุพการีทำงานที่นั่น ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร การกลับมาเยี่ยมบ้านของอัคคินในครั้งนี้ จึงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
“ทานข้าวเถอะอาร์ม เดี๋ยวคนทำจะเสียน้ำใจเอานะ มิ้นทำแต่ของโปรดของอาร์ม” อินทุอรเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่ต้องการให้เครียดกันไปมากกว่านี้
“ครับคุณแม่” ยังไม่ทันที่ทั้งสามจะลงมือรับประทานอาหาร รวิษาที่เสร็จจากงานในครัวเดินมาทรุดนั่งประจำที่ เตรียมตัวลงมือรับประทานอาหารพร้อมกับเจ้าของบ้าน
“คุณโอมล่ะคะคุณป้า?” เธอถามถึงคนที่หายไป
“ขึ้นไปข้างบนแล้ว” อินทุอรตอบแล้วเริ่มลงมือทานอาหาร รวิษามองไปยังจานข้าวของอัคราที่พร่องไปเล็กน้อยก็รู้ทันทีว่า อัคราคงจะไม่สบอารมณ์น้องชายต่างมารดาเลยลุกหนีขึ้นไปบนห้อง
“ถ้าอย่างนั้นมิ้นไปจัดสำรับให้คุณโอมก่อนนะคะ ข้าวพร่องไปนิดเดียวเอง”
“ไม่ต้องหรอกมิ้น ปล่อยให้หิวจนไส้ขาดแหละดีแล้ว” เจ้าของเสียงคืออรรคเดชที่หมั่นไส้ลูกชายคนโตไม่น้อย
“ไม่ได้หรอกค่ะ มิ้นกลัวคุณโอมเป็นโรคกระเพาะ มิ้นขอตัวไปจัดสำรับให้คุณโอมก่อนนะคะ แล้วไม่ต้องรอมิ้นนะคะ เดี๋ยวมิ้นทานในครัวได้ค่ะ”
คนที่เป็นห่วงอัคราไม่สนใจคำคัดค้านของใคร ลุกเดินไปยังห้องครัวเพื่อจัดสำรับอาหารใส่ถาด แล้วนำขึ้นไปให้อัคราบนห้อง