บทที่ 5
องครักษ์เอกผู้เก่งกาจอย่างอานีสต์ ลอบอมยิ้มอย่างถือไพ่เหนือกว่า เป็นดั่งที่ตาเฒ่ากาติย์บอกไว้ไม่มีผิด ว่าที่เผ่าอัยรีนกำลังต้องการเวชภัณฑ์ รวมทั้งอาหารที่เขาได้กว้านซื้อมาจากเมืองหลวงในอัลนูรีนเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นหนทางที่จะต่อรองกับฮาริย่าผู้เซ็กซี องครักษ์หนุ่มจึงไม่รอช้าที่จะเสนอเงื่อนไขกับสาวเจ้าทันที
“อืม...ถ้าหากนายหญิงฮาริย่า ต้องการเวชภัณฑ์ทั้งหมด ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันนิดหน่อย”
“ต้องการอะไรก็บอกมา”
ฮาริย่ากัดฟันแน่น กระชากเสียงถามอย่างโกรธๆ หากไม่ติดที่ว่าสถานพยาบาลในเผ่ากำลังขาดเวชภัณฑ์อย่างมาก เธอจะไม่ยอมก้มหัวให้ชายผู้นี้เป็นอันขาด
สถานพยาบาลขนาดกลางที่รองรับคนทั้งเผ่า ซึ่งมีคนเจ็บป่วยเข้าขอรับการรักษาตลอดทั้งยี่สิบสี่ชั่วโมง ทำให้ขาดยาหลายรายการ การเดินทางไปซื้อจากเมืองหลวงในอัลนูรีนก็ไม่ใช่สิ่งง่าย ระยะทางจากเผ่าอัยรีนไปยังอัลนูรีนต้องเดินทางด้วยอูฐถึงสองวันเต็ม ซึ่งยังไม่นับรวมการเดินทางกลับทำให้ไม่มีใครอยากรอนแรมอยู่ท่ามกลางคลื่นเม็ดทราย ที่ร้อนระอุแถมยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเจอพายุทะเลทรายเล่นงานเอาตอนไหน
ฮาริย่าเมินหน้าหนีพ่อค้าเร่หน้าบาก ที่เธอทราบชื่อว่า ‘ดามาสต์’ ด้วยรู้สึกแปลกๆ ตลอดเวลาที่ถูกชายผู้นี้จ้องมองเขม็ง ทำไมเธอถึงรู้สึกได้ตลอดเวลาว่าอีตาดามาสต์ กำลังส่งคำเชิญชวนให้เธอขึ้นเตียงด้วย และสิ่งที่แย่ที่สุดจนเธอไม่อาจมองหน้าชายผู้นี้คือ เธออยากตอบรับคำเชิญของชายหนุ่มเหลือเกิน
อานีสต์ยิ้มกริ่มอย่างผู้ที่กำกุมชัยชนะ องครักษ์หนุ่มเล่นตัวเป็นนาน กว่าจะเอ่ยบอกสิ่งที่ตนเองต้องการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับหัวใจนักรบยิ่งนัก
“หากนายหญิงฮาริย่าต้องการเวชภัณฑ์ รวมทั้งอาหารทั้งหมดก็ไม่ยากเลย ผมพร้อมยกให้ หากนายหญิงยอมให้ผมพักอาศัยอยู่ที่เผ่าอัยรีนด้วย”
‘และหากให้ดี เราอยากได้ตัวเจ้า มานอนแนบกายในทุกค่ำคืนด้วย’
องครักษ์ยิ้มพรายกับความคิดในตอนท้ายของตนเอง ให้ตายเถอะ! นับตั้งแต่เติบโตเป็นหนุ่มฉกรรจ์ ทำงานรับใช้ประมุขแห่งอัลนูรีนมาช้านาน เขาไม่เคยต้องการใครเหมือนเช่นดั่งต้องการในตัวฮาริย่ามาก่อน ยิ่งคิดก็ยิ่งนึกขำตัวเองที่เป็นเช่นดั่งหนุ่มน้อย ที่เพิ่งริรักเป็นครั้งแรก
ฮาริย่าขมวดคิ้วโก่งงามเข้าหาด้วยความแปลกใจ เพราะตอนแรกเธอคิดว่าอีกฝ่ายจะขอทองคำแท่ง เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับสินค้าที่มีอยู่เต็มลำเกวียนเสียอีก การค้าขายในดินแดนที่ห่างไกลจากประเทศอื่นมาก เงินตราสกุลไหนก็ไม่มีค่าและมั่นคงเท่ากับทองคำแท่ง ที่เธอพยายามกอบโกยจากเฒ่าจิ้งจอกอาดีบให้ได้มากที่สุด
“ทำไมเจ้าถึงต้องการพักที่เผ่าของเรา ขายของหมดแล้วเจ้าควรจะรีบๆ ไปซะ” ฮาริย่าถือโอกาสไล่คนที่ทำให้หัวใจเธอหวั่นไหว ทันทีที่มีโอกาสเช่นเดียวกัน
หัวหน้าเผ่าแสนสวยคิดว่าเพียงบุรุษหนุ่มผู้นี้ ได้จากไปจากดินแดนของเธอ ความรู้สึกร้อนผะผ่าวทั่วเรือนร่างที่แล่นพล่านรวมกันอยู่ที่จุดเดียวของความเป็นอิสตรี คงจะจางหายไปเช่นเดียวกัน
อานีสต์ยิ้มเย็นแอบกวาดสายตามองทั่วเรือนร่างอรชร ที่เขาจดจำทุกสัดส่วนของหญิงสาวได้เป็นอย่างดี จากนั้นได้เอ่ยตอบช้าๆ ซึ่งเป็นคำตอบที่ทำเอาฮาริย่าต้องกัดฟันแน่นด้วยความขัดเคือง
“หากนายหญิงฮาริย่าขัดข้องเรื่องให้ผมพักที่นี่ ผมก็ไม่ว่าอะไร เห็นทีผมต้องขอตัวไปเก็บของก่อน เพราะเท่าที่ได้ยินแว่วๆ มา รู้สึกว่าเผ่าที่อยู่ใกล้ๆ กันก็ต้องการสินค้า ที่ผมบรรทุกมาเต็มลำเกวียนเช่นเดียวกัน”
ฮาริย่าเกลียดลูกตาที่คลี่ยิ้ม พร้อมกับส่งกระแสเร่าร้อนชวนเธอขึ้นเตียงยิ่งนัก จนอยากจะเอามือทิ่มให้ตาบอดให้รู้แล้วรู้รอดไป ยิ่งอีกฝ่ายยิ้มพรายอย่างถือไพ่เหนือกว่า ยิ่งทำให้เกลียดจับใจ
“เจ้าจะพักอยู่ที่นี่นานแค่ไหน”
ฮาริย่าหลุดเสียงถามมาได้อย่างยากเย็น เพราะสิ่งที่เธอถามไปนั้น เท่ากับเป็นการตอบรับข้อเสนอของอีกฝ่ายกลายๆ
อานีสต์ยิ้มกว้างกับคำตอบรับของหัวหน้าเผ่าสุดเซ็กซี ใจนั้นอยากบอกเหลือเกินว่า เขาอยากพักอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต แต่ภารกิจที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งหน้าที่องครักษ์เอกของประมุขแห่งแผ่นดิน เป็นตัวบังคับจิตใจเขาให้ตอบออกมาในสิ่งที่ตรงกันข้าม
“ไม่นานหรอกนายหญิงฮาริย่า ผมจะอยู่ที่นี่อีกสักพัก จากนั้นจะเดินทางร่อนเร่ขายสินค้าที่เผ่าอื่นต่อไป”
ฮาริย่าไม่รู้ว่าหัวใจของเธอกำลังดีใจ หรือเสียใจกันแน่ ที่ยินคำตอบของอีกฝ่าย
“เราจะให้เจ้าพักที่นี่ แต่ท่านต้องจัดการเรื่องอาหารเอง”
“อืม...ไม่มีปัญหา แต่หากวันใดผมขออาศัยอาหารจากบ้านของนายหญิงสักมื้อ หวังว่านายหญิงฮาริย่าจะเมตตาผมอีกสักครั้ง”
อานีสต์เอ่ยอย่างยั่วยวน พอนึกถึงวันที่มีหญิงสาวนั่งร่วมโต๊ะทานมื้อค่ำใต้แสงจันทร์ด้วยกัน ทำให้รู้สึกอุ่นวาบในหัวใจอยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ
“เราไม่รับปากเจ้าเรื่องอาหาร”
ฮาริย่าตวาดปฏิเสธเสียงห้วนจัด จนนัยดาหญิงคนสนิทที่ยืนฟังอยู่นาน ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายหญิงของเธอ ฮาริย่าผู้เย็นชาไม่เคยแสดงอาการโกรธกริ้วใครง่ายๆ กลับกลายเป็นคนที่โมโหฉุนเฉียวเมื่อได้ต่อปากต่อคำ กับบุรุษหนุ่มหน้าบากผู้นี้แค่ไม่กี่นาที
“ตกลงกันตามนี้ เจ้าลำเลียงสินค้าของเจ้าไปที่บ้านพักของเราด้วย”
ฮาริย่าสั่งเสียงเข้มตัดบทการสนทนา ที่จะทำให้เธอเสียเปรียบบุรุษหนุ่มผู้นี้อีกหลายยก
อานีสต์หัวเราะฮึๆ กับคำสั่งราวกับนางพญาของหญิงสาว และก่อนที่ร่างอวบอิ่มจะเดินจากไป เขาก็ได้เอ่ยถามลอยไปตามคลื่นลมด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“น้ำตกที่นี่ท่าทางจะเย็นสบาย ชื่นฉ่ำปอดน่าดู...ว่าไหม? นายหญิงฮาริย่า”
ฮาริย่าหันขวับมาทางคนถาม ดวงตาคู่สวยจ้องมองเขม็ง จากนั้นก็ก้าวเท้ายาวๆ เดินตรงเข้าหาร่างสูงใหญ่ พร้อมกับกระชากกริชออกจากซอกเอว หวังจะเอามาจู่ที่คอหอยเพื่อเป็นการขู่บุรุษหนุ่ม
อานีสต์รออยู่แล้ว และเห็นการเคลื่อนไหวของหญิงสาวทุกอิริยาบถ พอฮาริย่าเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับชักกริชออกมา เขาก็เอื้อมมือไปจับข้อมือเล็กไว้ แล้วออกแรงดึงร่างบางระหงให้ปลิวเข้ามาปะทะกับอกกว้าง พร้อมกับกระซิบข้างๆ พวงแก้มแดงปลั่งอย่างยั่วยวน
“เรายอมให้เจ้าชักกริช ขู่เราได้แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น นางฟ้าจำแลง”
“นางฟ้าจำแลง? เจ้าหมายถึงอะไร”
ฮาริย่าทวนคำเสียงสูง พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากอ้อมแขนร้อนผ่าว ที่กระตุ้นให้เลือดอุ่นๆ ในกายเธอได้แล่นซ่าน จวนเจียนจะคลั่ง ยิ่งมือใหญ่ดันแผ่นหลังเธอไว้แน่น ทำให้ปทุมอิ่มบดเบียดเข้าไปกับแผงอกกว้าง ยิ่งทำให้มึนงงสับสน ไม่รู้ว่าตนเองอยากดันกายออกห่าง หรืออยากบดเบียดความอวบอิ่มไปกับความแข็งแกร่งกันแน่
อานีสต์ยิ้มกริ่ม หากไม่ติดที่มีคนสนิทร่างใหญ่ยักษ์ของฮาริย่ายืนอยู่ใกล้ๆ เขาคงได้ทำตามที่ใจปรารถนาด้วยการกดจุมพิตลงไปบนเรียวปากอิ่มสีกุหลาบ
“ไม่มีอะไรไปมากกว่าสิ่งที่เราพูด นางฟ้าจำแลงก็คือนางฟ้าจำแลง”
องครักษ์เอ่ยอย่างเล่นลิ้น ก่อนจะปล่อยร่างอวบอิ่มให้ถอยห่าง เขาได้หยิบกริชมาจากมือของหญิงสาว แล้วนำไปเสียบไว้ตรงซอกเอวเหมือนเดิม โดยมือใหญ่ปัดไปโดยตรงปทุมอิ่มอย่างจงใจ พอเห็นปลายถันตั้งชูชันดุนดันเสื้อผ้าเนื้อบางสีเข้ม กอปรกับกริยาที่เจ้าตัวสะดุ้งเฮือกผงะถอยหลัง พร้อมกับขบฟันแน่นก็ลอบอมยิ้มออกมาด้วยความถูกใจ
“ฮาริย่าคนงาม เจ้าเป็นผู้หญิงที่เร่าร้อนที่สุด เมื่อได้อยู่ภายใต้เรือนร่างของเรา”