บทที่ 2
“ฮาริย่าไปแน่ค่ะ”
ฮาริย่าบอกอย่างโมโห ก่อนจะกระแทกเท้าก้าวตรงไปยังท้ายขบวนกองเกวียน ความแปลกใจระคนสงสัยได้แล่นเข้ามาในหัวสมองของหญิงสาว ตาเฒ่ากาติย์มีท่าทีผิดสังเกตอย่างมาก จากที่ไม่เคยรับใครเข้ากองเกวียนง่ายๆ มานานนับสิบปีแล้ว จู่ๆ ก็ได้รับคนแปลกหน้าเข้าร่วมกองคาราวานด้วย พอถามชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่ายตาเฒ่ากาติย์ก็หลบหน้า ด้วยการแสร้งทำเป็นไปจัดสินค้าเพื่อเตรียมวางขาย
“เดี๋ยวก็ได้รู้ว่า นายเป็นใครกัน”
ฮาริย่าพึมพำกับตนเอง พอเดินไปถึงกองเกวียนลำสุดท้าย ก็ได้เห็นเจ้าของเกวียนซึ่งสวมชุดคลุมยาวรุ่มร่ามสีมอซอ แต่ทว่าดูสะอาดสะอ้านกำลังให้อาหารม้าพันธุ์ดีที่ใช้สำหรับเทียมเกวียน
“เจ้าคือพ่อค้าเร่คนใหม่ใช่ไหม”
ผู้ที่ถูกทักเสียงดังได้ยกผ้าคลุมศีรษะ เพื่อกันความร้อนจากดวงอาทิตย์ลูกใหญ่
แผดเผาร่างกายตนเองออกจากศีรษะ ก่อนจะหันหน้าช้าๆ มาตามต้นเสียง ซึ่งแม้จะเปล่งออกมาอย่างทรงอำนาจ แต่ผู้ที่ได้ยินก็ยังรู้สึกว่าน้ำเสียงของสาวเจ้าไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก
“สวัสดีนายหญิงฮาริย่า”
ผู้ค้าเร่คนใหม่กล่าวทักทายพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง พลางแอบมองหัวหน้าเผ่าแสนสวยตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า จากนั้นก็นึกสบถอยู่ในใจคนเดียว เมื่อดวงตาคมกริบได้พานพบกับความงดงามที่ซ่อนความเซ็กซีไว้อย่างร้ายกาจ
‘ให้ตายเถอะ ทำไมตาเฒ่ากาติย์ไม่บอกเราสักคำว่า เผ่าอัยรีนมีหัวหน้าเผ่าที่น่าฟัดน่ากินเช่นนี้’
ฮาริย่าผงะถอยหลังด้วยความตกใจ เมื่อได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดๆ ความสงสารแล่นพล่านเข้าสู่หัวใจดวงเล็ก ขณะทอดสายตามองไปยังรอยแผลเป็น ที่นูนขึ้นขนาดใหญ่และค่อนข้างยาวตรงแก้มซีกซ้าย!
“เจ้าชื่ออะไรและขายสินค้าอะไร”
หญิงสาวถามเสียงแข็ง แล้วจู่ๆ ก็เกิดอาการร้อนผ่าวขึ้นมาทั้งตัว เมื่อมองสบตากับดวงตาคมที่จ้องมองแน่นิ่งราวกับจะเปลื้องผ้าเธอออก
พ่อค้าเร่คนใหม่คลี่ยิ้มกว้างไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่กลับเดินไปดึงผ้าใบสีเทาออก เพื่อให้เห็นสินค้าที่บรรทุกอยู่บนกองเกวียน
“นี่คือสินค้าที่เราเอามาขายในดินแดนของท่าน”
ฮาริย่าเดินสำรวจรื้อค้นสินค้าด้วยตนเอง เมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติจึงได้เค้นเสียงถามอีกฝ่ายอีกครั้ง
“เจ้าตอบคำถามเรายังไม่หมด เหลืออีกหนึ่งคำถาม”
“แล้วท่านฮาริย่าล่ะ ชื่อเสียงเรียงนามเต็มๆ มีว่าอย่างไร ได้โปรดบอกเราสักนิดเถอะ เผื่อว่าเดินทางไปขายสินค้าในเผ่าอื่น จะได้บอกได้ถูกต้องว่าหัวหน้าเผ่าอัยรีนผู้นี้งดงามยิ่งนัก”
แทนที่จะตอบคำถามของอีกฝ่าย พ่อค้าเร่หน้าบากกลับเล่นลิ้นเป็นฝ่ายเอ่ยถามหัวหน้าเผ่าแสนสวยเสียเอง
“เราจะมีชื่อเสียงเรียงนามอะไรก็ช่าง หากเจ้าไม่ตอบคำถามเราภายในหนึ่งนาทีเจ้าก็อย่าได้หวังว่าจะมีโอกาสได้อยู่ขายสินค้าในดินแดนของเรา”
ฮาริย่ากระชากเสียงต่อว่าอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะหันหลังเดินหนีกลับไปที่บ้าน
พักของตนเอง แต่เท้าเล็กก้าวเดินได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกมือใหญ่ของพ่อค้าเร่รวบไว้ แล้วออกแรงบังคับให้หันกลับมาคุยกันเหมือนเดิม
“โธ่...นายหญิงฮาริย่า”
อานีสต์เรียกหญิงสาวตามที่เคยได้ยินตาเฒ่ากาติย์เรียก องครักษ์หนุ่มแสร้งทำตาละห้อย น่าสงสารแล้วออดอ้อนขอร้องอีกฝ่าย
“อย่าเพิ่งใจร้อนเดินหนีเลย หากนายหญิงฮาริย่าไม่ให้เราค้าขายที่นี่ เราคงได้อดตายแน่”
ฮาริย่าหยิบกริชมาจากซอกเอว พร้อมกับสั่งเสียงห้วน “ปล่อยมือเรา! ก่อนที่กริชเล่มนี้จะปักที่หัวใจของเจ้า”
อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์ ผู้เป็นองครักษ์เอกของเจ้าชายฮารีฟร์ ซึ่งได้รับมอบภารกิจมาสอดแนมตามหาเสือลำบากอย่างจิ้งจอกเฒ่าอาดีบ ยอมทำตามสั่งของอีกฝ่ายด้วยดี แต่หาใช่เพราะกลัวกริชเล่มเล็กไม่ ถึงฮาริย่าจะเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวมามากเพียงใด ก็ไม่อาจสู้กับบุรุษเพศ ผู้ที่เกิดมาเพื่อเป็นองครักษ์อารักขาความปลอดภัยให้กับเจ้าแผ่นดิน ที่ได้เข้าฝึกฝนการเป็นองครักษ์ ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ทุกแขนง ฝึกการใช้อาวุธทุกประเภทจนช่ำชองอย่างเขาได้ แต่ด้วยอยากผูกมิตรและไม่อยากให้ฮาริย่าโกรธไปมากกว่านี้ องครักษ์หนุ่มจึงได้ปล่อยมือจากต้นแขนเนียนนุ่มอย่างแสนเสียดาย ก่อนจะเอ่ยบอกชื่อกลางของตนแทน ไม่ยอมบอกชื่อจริง เพื่อป้องกันและเกรงว่าจะมีคนอื่นรู้จักเขา ในฐานะของหัวหน้าเหล่าองครักษ์ของเจ้าชายฮารีฟร์
“เรายอมแพ้แล้วนายหญิงฮาริย่า ได้โปรดเมตตา ‘ดามาสต์’ สักครั้งเถอะ”
องครักษ์หนุ่มเอ่ยบอกเพียงชื่อกลาง ไม่ต้องการให้ฮาริย่ารู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา จนกว่าเขาจะลากคอจิ้งจอกเฒ่าอาดีบกลับไปลงโทษในเมืองหลวงได้แล้ว
เวชภัณฑ์รวมทั้งอาหารที่บรรทุกอยู่บนลำเกวียน ล้วนเป็นสิ่งที่คนในเผ่ากำลังต้องการอย่างมาก ซึ่งเป็นใบเบิกทาง ที่ทำให้ฮาริย่าจำเป็นต้องเอ่ยอนุญาตให้อีกฝ่ายอยู่ในเผ่าของเธอต่อ
“เราจะให้เจ้าขายสินค้าที่เผ่าของเราได้ แต่จำไว้! หากเจ้าแตะต้องตัวเราอีกครั้ง กริชเล่มนี้จะได้ลิ้มลอง ‘เลือด’ ของเจ้าแน่”
ฮาริย่าขู่ฟ่อทิ้งท้าย ก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ เกือบเป็นวิ่งกลับไปยังบ้านพักของตนเองอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังวิ่งหนีบางสิ่งบางอย่างที่กำลังวิ่งวนก่อกวนอยู่ในหัวใจดวงน้อย
อานีสต์มองตามร่างบอบบางที่เดินหนี ก่อนจะหัวเราะฮึๆ แล้วพึมพำอยู่กับสายลมละอองเม็ดทราย
“ต่อไปเราจะไม่แค่เพียงแตะต้องเจ้า แต่เราจะจูบที่ปากอิ่มๆ ช่างจรรจา เพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่าหวานฉ่ำสักปานใด”