บทที่ 6 เดินเที่ยวตลาดกลางคืน
อุลลาเดินนำทุกคนในขบวนไปยังกำแพงที่มีทหารตรวจตราแน่นหนา ทหารของที่นี่ก็ใส่เครื่องแบบเหมือนอุลลา เพียงแต่เปลี่ยนจากสีแดงเลือดหมูเป็นสีน้ำเงินเข้ม พออุลลายื่นหลักฐานประจำตัวและจดหมายประทับตราบางอย่างให้ดู พวกทหารก็เปิดทางให้ขบวนของหล่อนเข้าไปโดยไม่ถามอะไรสักคำ ไม่มีแม้แต่การตรวจค้น ช่างไว้ใจกันจริงๆ แฮะ
พอก้าวพ้นกำแพงสูงเข้าไปภายในเมือง ภาพที่เห็นทำเอาลาพิสรู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง ในเมืองนี้มีถนนหลักสองสาย สายแรกเป็นถนนเลียบกำแพงเมืองที่เอาไว้สำหรับให้พวกกีเซลและรถพาหนะวิ่ง ส่วนอีกสายเป็นถนนที่ตัดตรงจากประตูเมืองทิศตะวันตกไปจรดประตูเมืองทิศตะวันออก ถนนนี้เป็นถนนการค้าที่สองข้างทางมีร้านรวงแน่นขนัด จากถนนหลักกลางเมืองยังมีถนนรองตัดเป็นตรอกเล็กตรอกน้อยเหมือนรังผึ้งทั่วทั้งเมือง อุลลาแนะนำว่าฝั่งด้านเหนือของเมืองเป็นแหล่งการค้าและโรงแรมที่พักของนักเดินทาง ส่วนทางทิศใต้เป็นบ้านเรือนของชาวเมืองและที่ทำการของกองทหารและเจ้าเมือง บ้านเรือนที่นี่ถ้าไม่ทาผนังสีขาวหลังคาสีน้ำเงินสด ก็เป็นผนังสีฟ้าหลังคาสีดำเหมือนกันหมด ส่วนย่านการค้าล้วนเป็นตึกแถวชั้นเดียวสร้างจากหินทรายสีเทาตุ่นๆ แต่พอประกอบกับผ้าม่านสีสันสดใสที่ร้านค้าแต่ละร้านนิยมนำมาแขวนประดับก็ทำให้ดูสดใสมีชีวิตชีวา ส่วนสินค้าที่มีอยู่ในตลาดก็มีตั้งแต่เสื้อผ้าแพรพรรณ ข้าวของเครื่องใช้ อาวุธ เครื่องมือการเกษตร อาหารสด อาหารแห้ง ผักผลไม้ สมุนไพร ตลอดจนสัตว์แปลกๆ ทั้งสัตว์ที่เป็นอาหาร สัตว์เลี้ยง และสัตว์ที่เอาไว้ใช้งาน นี่ขนาดแค่เมืองหน้าด่านติดทะเลทรายยังดูตื่นตาตื่นใจขนาดนี้เลย ถ้าเป็นเมืองหลวงจะน่าดูขนาดไหนนะ
ขบวนบรรณาการจากเซฮารานเดินตามถนนหลักกลางเมืองมาได้สักครึ่งทาง อุลลาก็พาทุกคนเดินเลี้ยวขวาเข้าถนนย่อยที่ดูสะอาดเรียบร้อยผ่านบ้านเรือนชาวเมืองไปสุดที่อาคารสีขาวขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะเป็นอาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมือง
"นี่คือจวนเจ้าเมือง คืนนี้เราจะพักกันที่นี่ ตอนนี้พ้นเขตทะเลทรายแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเราจะเปลี่ยนมาเดินทางกันตอนกลางวันและพักแรมตามเมืองต่างๆ ในตอนกลางคืน อีกประมาณสิบหน้าวันเราก็จะถึงเมืองการ์วุคอันเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรการ์ซิดแล้วพระเจ้าค่ะ" นายกองอุลลาหันมาบอกต่อลาพิส
ห้องชุดที่ใช้รับรองเจ้าหญิงแห่งเซฮารานอยู่บนปีกซ้ายชั้นสองของตัวอาคาร ภายในตกแต่งหรูหรางดงามสมกับเป็นห้องที่ใช้รับรองแขกบ้านแขกเมือง พอเข้ามาถึงห้องนอน ลาพิสก็ถอดผ้าคลุมหน้าโยนลงพื้นแล้วกระโดดขึ้นไปนอนแผ่นหราบนเตียงนุ่มนิ่มที่ไม่เคยได้เฉียดใกล้มานานตั้งแต่เดินทางมาที่มิตินี้
“ฮ้า...คิดว่าคนที่นี่ไม่รู้จักนอนเตียงนุ่มๆ กันซะอีก.....สบายจัง”
“องค์หญิงเพคะ หม่อมฉันให้เด็กๆ ไปเตรียมน้ำให้สรงแล้วเพคะ สรงน้ำเสร็จจะได้บรรทมหลับสบาย เชิญเสด็จทางนี้เพคะ” พระพี่เลี้ยงเนรานไม่ปล่อยให้หล่อนได้นอนทั้งที่ยังซกมก รีบมาตามไปอาบน้ำซะแล้ว สมกับเป็นพี่เลี้ยงองค์หญิงจริงๆ
ห้องน้ำที่นี่เป็นอ่างหินขนาดใหญ่ มีท่อส่งน้ำเข้ามา ทำให้ใช้งานสะดวกยิ่ง ลาพิสสั่งให้นางกำนัลออกไปหมด และอาบน้ำด้วยตัวเอง นับเป็นการอาบน้ำที่มีความสุขที่สุดตั้งแต่มาอยู่ที่มิตินี้เลยทีเดียว อาบน้ำเสร็จหล่อนก็นอนหลับรวดเดียวหลายชั่วโมงเพราะเหนื่อยจากการเดินทางมาตลอดคืน หญิงสาวตื่นขึ้นมาอีกทีตอนบ่าย เห็นเนรานและนางกำนัลคนอื่นๆ นั่งหลับคอพับคออ่อนอยู่ก็นึกสนุกอยากแอบออกไปเดินเล่นในเมืองคนเดียว โชคดีที่ตอนมาถึงหล่อนคลุมหน้าไว้เลยไม่มีใครที่นี่รู้จักหน้าตาเจ้าหญิงแห่งเซฮาราน
หญิงสาวอมยิ้มชั่วร้าย ค่อยๆ ย่องไปค้นชุดของเนรานมาได้ชุดหนึ่ง จัดการเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เอาเครื่องสำอางมาแต่งหน้าให้เหมือนคนเป็นทั้งกระทั่งฝ้าหน้าดำจนดูไม่จืด ก่อนออกจากห้องยังไม่ลืมแอบหยิบเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ สองสามชิ้นในหีบของใช้ของเจ้าหญิงใส่ไว้ในกระเป๋ากระโปรง แล้วเดินออกจากห้องผ่านหน้าทหารยามไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย พอถึงประตูใหญ่หน้าอาคาร หญิงสาวก็เดินไปแจ้งกับทหารยามด้วยท่าทางปกติไร้พิรุธว่าตนเป็นนางกำนัลผู้ติดตามองค์หญิงอาเซร่า จะออกไปซื้อของให้องค์หญิงในตลาด พวกเขาก็ปล่อยหล่อนผ่านมาได้อย่างง่ายดาย
หญิงสาวเดินชมตลาดด้วยความสนอกสนใจ แอบนึกถึงเพื่อนสนิททั้งสองคนของตนไม่ได้ ถ้าสองคนนั้นมาเดินด้วยกันคงจะสนุกกว่านี้อีก เพราะความจริงหล่อนเป็นพวกไม่ชอบเดินช็อปปิ้ง เวลาจะซื้อของก็มักจะเดินตรงไปซื้อของที่ต้องการโดยไม่สนใจดูของอย่างอื่น แต่เพื่อนซี้หล่อนทั้งสองเป็นพวกบ้าช็อปปิ้งขึ้นสมอง ทั้งสองคนสามารถเดินได้เป็นวันๆ โดยไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
เดินมาได้สักพักหญิงสาวก็เดินแวะเข้าไปในร้านขายเครื่องประดับร้านหนึ่งที่อยู่มุมลับตาคน เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนจมูกงองุ้ม ดวงตาเรียวเล็กดูเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก
“เชิญๆ ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการดูเครื่องประดับแบบไหนเป็นพิเศษ ร้านเรามีเครื่องประดับสวยงามมากมายให้เลือกชม” เจ้าของร้านรีบลุกขึ้นมาต้อนรับหลังจากเห็นหล่อนใส่เสื้อผ้าเนื้อดีกว่าคนทั่วไป
“ชิ้นนั้นเท่าไหร่” ลาพิสชี้ไปที่กำไลข้อมือขนาดใกล้เคียงกับวงที่หล่อนหยิบใส่กระเป๋ามาด้วย แต่ฝีมือหยาบกว่ามาก ก่อนจะขายก็ต้องสำรวจราคาตลาดซะก่อนสิ ถึงแม้หล่อนจะต้องการเงินเพียงเล็กน้อยแค่พอสำหรับซื้อของกินกับซื้อของที่ระลึกไว้ดูเล่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหล่อนเต็มใจจะถูกโก่งราคาสักหน่อย
“โอ้ ท่านช่างตาถึงจริงๆ กำไลวงนี้ทำจากทองคำแท้ ฝังด้วยพลอยเจ็ดสีที่หายากมาก ช่างที่ทำก็เป็นช่างทองจากรีมานูเชียวนะ ฝีมือจึงประณีตกว่ากำไลทั่วไป ปกติข้าขายอยู่ที่สี่ร้อยเหรียญ แต่เห็นแก่ที่ท่านเป็นลูกค้ารายแรกของวันนี้ ข้าลดให้ท่านเหลือสามร้อยเก้าสิบเหรียญก็แล้วกัน”
ลาพิสหรี่ตายิ้ม “ความจริงข้าก็ถามไปอย่างนั้นแหละ วันนี้ข้าไม่ได้อยากจะมาซื้อเครื่องประดับหรอก แต่อยากจะมาขายมากกว่า” หญิงสาวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากระโปรง หยิบกำไลวงหนึ่งออกมาวางลงตรงหน้าอีกฝ่าย “ไม่ทราบว่าท่านจะรับซื้อหรือไม่”
พ่อค้าเครื่องประดับตาลุกวาว รีบหยิบกำไลวงนั้นมาส่องดูอย่างใกล้ชิด ฝีมือละเอียดขนาดนี้มีแต่ช่างทองของราชวงศ์เท่านั้นที่ทำได้
เขากระแอมทีหนึ่ง วางกำไลวงนั้นลงบนโต๊ะแล้วหรี่ตาถามหล่อน “ไม่ทราบว่าท่านได้มันมาอย่างไร ข้าไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวด้วยการรับซื้อของโจรหรอกนะ”
“อ้อ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง กำไลวงนี้เป็นของข้าเอง ข้าเป็นนางกำนัล เดินทางมากับขบวนเสด็จของเจ้าหญิงแห่งเซฮาราน พอดีว่าเจ้านายข้าต้องการใช้เงินอย่างเร่งด่วน จึงสั่งให้ข้านำกำไลวงนี้มาขาย ว่าแต่ท่านจะซื้อหรือไม่ ถ้าไม่ซื้อข้าก็จะได้ไปร้านอื่น” หญิงสาวทำท่าเก็บกำไลเหมือนไม่สนใจ อีกฝ่ายรีบละล่ำละลักห้ามไว้
“แม่นางโปรดใจเย็นๆ ก่อน ข้าซื้อแน่นอน เพียงแต่ต้องการจะตรวจสอบที่มาที่ไปของสินค้าให้แน่นอนก่อนเท่านั้นเอง แต่ข้าให้ท่านได้เต็มที่แค่ห้าร้อยเหรียญเท่านั้นนะ”
“หนึ่งพันเหรียญ” ลาพิสพูดนิ่มๆ แต่ทำเอาอีกฝ่ายตาเหลือก เขาไม่เคยเจอใครเขี้ยวขนาดนี้มาก่อน
“เจ็ดร้อยเหรียญก็แล้วกัน มากกว่านี้ท่านคงต้องไปร้านอื่นแล้ว”
“ตกลง เจ็ดร้อยเหรียญก็เจ็ดร้อยเหรียญ” หญิงสาวตอบรับอย่างรวดเร็ว เล่นเอาพ่อค้าเพิ่งรู้ตัวว่าพลาดท่าเสียแล้ว
เมื่อรับเงินเรียบร้อย ลาพิสก็เดินลอยชายออกมาจากร้านเครื่องประดับอย่างสบายใจ แกล้งทำเป็นไม่เห็นเจ้าของร้านที่ออกมาส่งสายตาให้พวกนักเลงท้ายตรอก หล่อนไม่คิดอยู่แล้วว่าการซื้อขายเครื่องประดับราคาแพงจะเป็นไปด้วยความง่ายดาย อีกฝ่ายคงจะนึกเสียดายเงินที่จ่ายไป จึงสั่งให้นักเลงพวกนั้นมาปล้นเงินกลับไปให้ตน แต่ความที่เกิดในตระกูลมาเฟียทำให้คุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ดี
นักเลงกลุ่มนั้นเดินสะกดรอยตามหล่อนมาอย่างเงียบๆ พวกมันอยากตามหล่อนก็ปล่อยให้มันตามกันไป หญิงสาวเลือกเดินไปในย่านที่ผู้คนพลุกพล่าน แวะซื้อขนมหน้าตาแปลกๆ แวะดูของใช้หน้าตาประหลาดๆ ไปตลอดทาง จนเดินไปถึงร้านขายอาวุธ หล่อนก็ก้าวเข้าไปดูภายในร้านอย่างสนอกสนใจเป็นพิเศษ
มีดสั้น ขวาน ธนู และดาบวางเรียงรายเต็มร้านจนคนชอบสะสมอาวุธแบบหล่อนตาพร่าไปเลย รูปทรงและน้ำหนักแต่ละอันแตกต่างกันไป หล่อนเลือกซื้อมีดสั้นและปลอกหนังคาดเอวหนึ่งชุด มันดูธรรมดาอย่างยิ่ง แต่มันทั้งแข็งและคม น้ำหนักก็กำลังเหมาะมือ ตัวมีดทำจากโลหะที่หล่อนไม่รู้จัก เนื้อโลหะเป็นลายสีเขียวอมเทาสลับดำ ด้ามมีดเป็นเงินแกะสลักลวดลายหยาบๆ รูปตัวกีเซล
ลาพิสมัวแต่ดูมีดเล่มใหม่ด้วยความพอใจจนเดินชนเข้ากับชายคนหนึ่งที่เดินสวนเข้ามาขณะที่หล่อนกำลังจะก้าวออกจากร้าน หญิงสาวไม่ทันเงยหน้าขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำก็ถูกชายอีกสองคนที่มากับชายคนนั้นตะคอกใส่พร้อมกับยื่นดาบมาจ่อคอ
“นังคนไร้มารยาท ขอโทษนายข้าเดี๋ยวนี้”
หญิงสาวกลอกตาด้วยความเหนื่อยหน่าย ความวัวยังไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรกแท้ๆ จากหางตา พวกนักเลงที่สะกดรอยตามหล่อนมาก็ยังแอบดูอยู่ที่มุมตึก และแล้วความคิดชั่วร้ายก็ผุดขึ้นมาในสมองน้อยๆ ของหล่อน หญิงสาวเอี้ยวตัวหลบดาบที่จ่อคอแล้วก้าวเข้าไปประชิดชายคนที่หล่อนเดินชนอย่างรวดเร็วจนทุกคนตกใจ เขาเป็นคนตัวสูงใหญ่แถมไว้หนวดไว้เคราดูดิบเถื่อนแต่ก็หล่ออย่างร้ายกาจ เสื้อผ้าซอมซ่อแต่กลับสะอาดจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ เมื่ออยู่ใกล้ ดวงตาคมคู่นั้นก็ดูล้ำลึกมีอำนาจ ดูแล้วน่าจะอายุยังไม่ถึงสามสิบแต่กลับมีสง่าราศีผิดคนทั่วไป
ลิพิสเขย่งเท้าขึ้นไปกระซิบที่หูของชายหนุ่ม “มีคนสะกดรอยตามท่าน”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วมองตามสายตาหล่อนไปที่นักเลงมุมตึก พอพวกมันเห็นหล่อนหันไปมองก็พากันหลบวูบ ชายหนุ่มจึงหันไปโบกมือให้คนติดตามทั้งสองคนไปจัดการ ลาพิสหลบฉากออกไปอย่างรวดเร็ว ทีนี้หล่อนก็ไม่ต้องเหนื่อยลงมือเองแล้ว ฮิ ๆ
แต่ไม่ทันได้หลบฉากอย่างสบายใจข้อมือบางก็ถูกมือที่แข็งราวกับปลอกเหล็กของคนที่หล่อน ‘หวังดี’ ยึดไว้เสียก่อน เขาลากหล่อนให้เดินตามไปที่ตรอกลับตาคนด้วยความเร็วจนเหลือเชื่อ ความจริงลาพิสจะสะบัดให้หลุดแล้ววิ่งหนีไปเสียก็ได้ แต่ถ้าทำแบบนั้นก็ต้องถูกอีกฝ่ายตามล่าแน่ มิสู้ทำให้เรื่องมันจบๆ ไปดีกว่า ชายหนุ่มเหวี่ยงหล่อนใส่กำแพงแล้วกอดอกถามด้วยเสียงราบเรียบ
“เจ้าเป็นใคร”