บท
ตั้งค่า

บทที่ 9 เจ้าชายอนาลัส

แอมเบอร์ยืนนิ่งอยู่หลังม่าน แทบจะไม่กล้าหายใจแรง หล่อนไม่น่าซวยแบบนี้เลย ทำไมสองคนนี้ต้องบังเอิญมาหยุดยืนคุยกันตรงที่หล่อนแอบด้วยนะ

“องค์หญิงอย่าลืมรางวัลของหม่อมฉันตามที่สัญญานะเพคะ” เสียงมูสเอ่ยกระซิบกระซาบกับผู้หญิงที่เดินมาด้วยกัน

แอมเบอร์ขมวดคิ้ว องค์หญิงงั้นเหรอ ในบรรดาหญิงงามทั้งหมดมีองค์หญิงเพียงองค์เดียว ถ้าอย่างนั้นผู้หญิงคนนี้ก็คือองค์หญิงเซรแอนเนียสินะ อืม... สวยสมคำร่ำลือ

“ไม่ลืมหรอกน่า ขอเพียงเจ้ากำจัดนังลอว์โรนออกไปให้พ้นทางข้าได้เมื่อไหร่ ข้าสัญญาว่าจะขอให้เจ้าเลื่อนตำแหน่งมาเป็นคนรับใช้คนสนิทของข้าทันที” องค์หญิงเซรแอนเนียตอบด้วยเสียงปนรำคาญ

“วันนี้หม่อมฉันเกือบจะทำสำเร็จแล้วเชียว เสียดายนังแก่นั่นดันมาช่วยนางไว้ได้ทัน” มูสเอ่ยด้วยเสียงแค้นเคือง

“นังแก่นั่นเป็นใคร ข้าแค่เห็นหน้าก็ไม่ถูกชะตาแล้ว” องค์หญิงถามเสียงขุ่น

“นางเป็นผู้ช่วยแม่ครัวใหญ่เพคะ หม่อมฉันก็ไม่ชอบขี้หน้านางเหมือนกัน ชอบทำตัวเด่นกว่าคนอื่น”

“ถ้านางชอบทำจมูกยื่นจมูกยาวยุ่งเรื่องคนอื่นมากนัก เจ้าก็กำจัดนางซะพร้อมๆ กับนังลอว์โรนไปเลย”

“เพคะ” มูสตกปากรับคำด้วยใบหน้าชั่วร้าย

ทั้งสองแยกกันที่ทางเดินตรงนั้น แอมเบอร์รอจนแน่ใจว่าพวกหล่อนไปไกลแล้วจึงก้าวออกมาจากหลังม่าน คิดจะกำจัดคนอย่างฉันเหรอ รู้จักแอมเบอร์น้อยไปซะแล้ว

แอมเบอร์ยิ้มดวงตาพราว เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยชีวิตก็จะได้มีสีสันไม่น่าเบื่อ โฮะๆ ๆ หญิงสาวเดินฮัมเพลงกลับห้องพลางคิดพลางว่าจะเริ่มสั่งสอนคนทั้งสองอย่างไรดีจึงจะสนุกที่สุด

วันรุ่งขึ้นมูสกับมิลเกิดอาการท้องร่วงอย่างหนัก ทั้งๆ ที่ก็รับประทานอาหารในครัวเช่นเดียวกับคนงานคนอื่นๆ ทั้งสองแย่งกันวิ่งเข้าวิ่งออกห้องน้ำทั้งวันจนไม่มีเวลาไปวางแผนชั่วร้ายใส่ความใคร

ส่วนองค์หญิงเซรแอนเนียเองก็เกิดอาการคันคะเยอไปทั้งตัว หล่อนเกาจนผิวหนังถลอกเป็นแผลก็ยังไม่หายคัน แพทย์ลงความเห็นว่าหล่อนแพ้อาหารบางอย่างซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าแพ้อาหารอะไร เพราะอาหารที่รับประทานก็เป็นอาหารเหมือนๆ สาวงามคนอื่นๆ

องค์หญิงผู้สูงส่งถึงกับไม่กล้าออกจากห้องมาพบหน้าผู้คนเพราะนอกจากจะมีตุ่มแดงขึ้นเต็มตัวแล้ว ใบหน้าของหล่อนยังบวมฉึ่งจนน่าเกลียดน่ากลัว หมดเค้าสาวงามไปเลย

อาการป่วยขององค์หญิงเซรแอนเนียร้ายแรงถึงกับทำให้องค์ชายอนาลัสแห่งเวนโตเรียผู้ซึ่งเป็นผู้นำกองเรือคุ้มกันเหล่าสาวงามไปสู่ทวีปเวทินน่าสั่งให้เลื่อนการเดินทางออกไปอีกเจ็ดวัน ขบวนส่งตัวทั้งหมดจึงยังคงปักหลักอยู่ที่เมืองท่าเรือต่อไปตามคำสั่ง

คนงานทุกคนพอทราบข่าวก็อดดีใจไม่ได้ เพราะการทำงานบนฝั่งแบบนี้ย่อมสะดวกสบายกว่ากำทำงานบนเรือที่มีทรัพยากรจำกัดมาก แถมพอเลิกงานพวกตนยังมีโอกาสได้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาในเมืองอีกด้วย

ออลูนเองก็ชอบชวนแอมเบอร์ออกไปเดินซื้อของตามตลาดกลางคืนที่คึกคักของเมืองท่าเรือ แต่แอมเบอร์กลับไม่ยอมไปกับหล่อนเลยสักครั้ง หญิงสาวกลัวว่าจะไปจ๊ะเอ๋กับชายหนุ่มที่เคยเห็นหล่อนตอนลอกคราบคนนั้นเข้า จึงยอมหมกตัวอยู่แต่ในห้องพักคนงานตลอดหลายวันมานี่

เจ็ดวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้องค์หญิงจะยังอาการไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่แต่ขบวนส่งตัวทั้งหมดก็ไม่อาจรั้งรออยู่ได้อีกต่อไป ทั้งหมดจึงลงเรือและออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ทวีปเวทินน่าในตอนเช้าตรู่ของวันนี้

แอมเบอร์รู้สึกโล่งอกที่จะได้ไปจากเมืองท่าแห่งนี้เสียที หล่อนจะได้ไม่ต้องคอยระแวงกลัวว่าจะไปเจอกับชายหนุ่มผู้เคยเห็นตัวจริงของหล่อนคนนั้นอีก นี่ถ้าไม่กลัวว่าจะต้องเสียเวลารั้งอยู่ที่เมืองนี้นานเกินไป หล่อนจะวางยาให้ยายเจ้าหญิงตัวร้ายนั่นคันจนตายไปเลย เฮอะ! เล่นกับใครไม่เล่น นี่แค่น้ำจิ้มหรอกนะ

เรือลำที่สาวงามและคนงานทั้งหมดใช้โดยสารเป็นเรือลำที่ใหญ่ที่สุดในกองเรือนี้ ทั้งกองเรือมีเรือทั้งหมดหกลำ แต่ละลำติดอาวุธพร้อม เพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกโจรสลัด

ห้องพักของเหล่าสาวงามและนายทหารเรือระดับสูงในเรือลำนี้อยู่ชั้นบนสุดของเรือ ชั้นกลางเป็นห้องครัวและห้องพักของนายทหารเรือระดับล่าง ส่วนห้องพักคนงานทั่วไปอยู่ชั้นล่างสุดของเรือติดกับห้องเก็บของ หนึ่งห้องต้องนอนรวมกันถึงเจ็ดคน ทำให้แอมเบอร์ค่อนข้างจะรู้สึกอึดอัด แถมหล่อนและออลูนยังถูกจัดให้นอนร่วมห้องกับสองพี่น้องมูสกับมิลอีกด้วย

แม้ก่อนจะลงเรือมูสกับมิลจะหายจากอาการท้องเสียจนพอจะทำงานได้แล้ว แต่ตอนนี้กลับมีอาการเมาเรืออย่างหนักแทน ทั้งสองนอนหน้าเขียวหน้าเหลืองลุกไม่ขึ้นอีกเป็นอาทิตย์จนคนงานในครัวคนอื่นๆ พากันหงุดหงิดที่ขาดคนงานช่วยงานจิปาถะในครัวไปอีกถึงสองคน

ความจริงทั้งสองคนไม่ได้เมาเรือหรอก แต่โดนแอมเบอร์วางยาที่ทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียนต่างหาก ให้พวกหล่อนป่วยจนไม่มีเวลาไปวางแผนการร้ายซะแอมเบอร์ก็จะได้ไม่ต้องคอยมาระแวงให้เสียเวลา

“โอย เจ้าสองคนนี่น่าสงสารซะจริงๆ เรือลำใหญ่โดนคลื่นก็ไม่โคลงขนาดนี้ยังจะเมาเรือกันอีก” แอมเบอร์ทักสองพี่น้องยามเดินผ่านก่อนจะออกไปทำงาน

“สมน้ำหน้าแล้วล่ะยาย คนชั่วก็สมควรเป็นแบบนี้ซะบ้าง ยายไปสงสารพวกมันทำไมกัน อีกอย่าง พวกเราก็ไม่รู้หรอกว่าพวกมันสองคนป่วยจริงหรือแกล้งป่วยเพื่อจะได้อู้งานกันแน่” ออลูนปรายตามองสองพี่น้องด้วยสายตาเหยียดๆ

มูสกับมิลถลึงตาใส่ออลูนด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่มีแรงจะลุกขึ้นมาโต้ตอบเพราะกำลังเวียนหัวอย่างหนัก

“วันนี้องค์ชายอนาลัสจะจัดงานเลี้ยงให้เหล่าสาวงามได้สนุกกัน ในเมื่อพวกเจ้ายังเมาเรือไม่หายก็นอนพักกันต่อไปเถอะ ส่วนพวกข้า จะไปยลโฉมเจ้าชายที่เขาลือกันว่าทั้งเก่งกาจทั้งรูปงามคนนี้สักหน่อย” ออลูนยิ้มเยาะ

เป็นที่รู้กันว่าสาวๆ ทั้งหลายต่างก็ตั้งตารอคอยที่จะได้เห็นหน้าเจ้าชายอนาลัสองค์นี้กันทั้งนั้น โดยเฉพาะสองพี่น้องมูสกับมิลคู่นี้ ตั้งแต่พวกหล่อนได้รู้ว่าจะได้ร่วมขบวนกับเจ้าชายอนาลัสก็ถึงกับพร่ำเพ้อรอคอยกันเลยทีเดียว ออลูนจึงใช้เรื่องนี้มายั่วโมโหพวกหล่อน

เขาลือกันว่าพระองค์เป็นหนึ่งในเจ้าชายที่หล่อที่สุดในสี่ทวีป แถมนอกจากจะหล่อแล้วยังเก่งกล้าสามารถอีกด้วย ตอนอายุสิบสามก็เข้าร่วมกองทัพเรือ พออายุสิบหกได้เลื่อนเป็นแม่ทัพเรือแห่งอาณาจักรเวนโตเรีย คุมกองเรือทั้งประเทศ อายุยี่สิบรั้งตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดีกลาโหมแห่งเวนโตเรีย ปัจจุบันอายุยี่สิบห้า เตรียมจ่อจะขึ้นเป็นเสนาบดีกลาโหมของเวนโตเรีย ที่สำคัญพระองค์ยังโสด ไม่แต่งงาน จึงเป็นที่คลั่งไคล้ของหญิงสาวทั่วโลก

แต่ตั้งแต่ที่กองเรือแห่งเวนโตเรียมาถึงทวีปนี้ เจ้าชายก็ล้มป่วยกะทันหันจึงไม่อาจออกมาปรากฏตัวได้ นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วอาการของพระองค์คงจะดีขึ้นมาก จึงมีคำสั่งให้จัดงานเลี้ยงขึ้นบนเรือเพื่อให้เหล่าสาวงามมีกิจกรรมทำและไม่รู้สึกเบื่อกับการเดินทางจนเกินไป และงานนี้พระองค์จะมาเป็นประธานของงานด้วยองค์เอง

เหล่าคนงานสาวๆ ทุกแผนกพากันแย่งตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟอาหารในงานนี้กันทั้งนั้น ถึงขนาดยอมติดสินบนพ่อบ้านแพรี่กันเลยทีเดียว ยังดีที่ท่านพ่อบ้านไม่ใช่คนเห็นแก่เงิน นอกจากจะไม่รับสินบนแล้ว เขายังจัดการคัดเลือกเฉพาะคนงานที่รูปร่างหน้าตาดี ทำงานคล่องแคล่ว และมีมารยาทเรียบร้อยไปทำงานนี้เพื่อไม่ให้มีความผิดพลาดใดๆ ซึ่งออลูนผู้เคยทำวีรกรรมไว้ในงานเลี้ยงครั้งก่อนและยายแก่งุ่มง่ามอย่างแอมเบอร์นั้นหมดสิทธิ์ตั้งแต่ยังไม่ได้คิดเลยทีเดียว แต่แอมเบอร์ก็ไม่ได้สนใจมากนัก หล่อนไม่ได้บ้าคนหล่อแบบคนงานสาวๆ พวกนั้นสักหน่อย

ออลูนดูท่าทางผิดหวังไม่น้อยที่ไม่ได้เป็นพนักงานเสิร์ฟในงานเลี้ยงครั้งนี้ แต่หล่อนก็ไม่วายชวนแอมเบอร์ไปแอบดูเจ้าชายเมื่องานเลี้ยงเลิก

“โอ๊ย ยายหนูออลูน เจ้าอยากดูคนหล่อก็ไปแอบดูของเจ้าคนเดียวสิ ทำไมต้องลากคนแก่อย่างข้าให้ตามมาด้วยกันล่ะนี่” แอมเบอร์บ่นไปตลอดทางที่โดนลากไป

“แหม ก็ข้าไม่กล้าไปคนเดียวนี่ยาย ยายเป็นเพื่อนที่ข้าสนิทที่สุด ข้าแค่ให้ยายสละเวลามาแอบดูเป็นเพื่อนข้าแค่เนี้ย อย่าบ่นนักเลยน่า” ออลูนไม่ยอมปล่อยแอมเบอร์ไปง่ายๆ

“แล้วเจ้าจะไปแอบดูที่ไหนกัน อย่าบอกนะว่าจะขึ้นไปแอบดูแถวหน้าห้องพักองค์ชายน่ะ”

“ใครจะกล้าล่ะยาย แถวนั้นมีทหารคุ้มกันเต็มไปหมด ข้าจะพายายไปแอบดูตรงดาดฟ้าเรือต่างหาก ห้องจัดงานเลี้ยงอยู่ตรงบริเวณท้ายเรือใช่มั้ยล่ะ หากเจ้าชายจะเสด็จกลับไปยังห้องพักของพระองค์ เจ้าชายก็จะต้องเสด็จผ่านดาดฟ้าเรือแน่นอน พระองค์คงไม่เดินอ้อมลงไปยังชั้นสองซึ่งเป็นส่วนที่พักของพวกทหารยศต่ำหรอก พวกเราไปกันเถอะ งานใกล้จะเลิกแล้ว เดี๋ยวจะหาที่แอบไม่ทัน”

แม้จะเป็นยามค่ำคืนเดือนแรม แต่บนดาดฟ้าเรือก็มีตะเกียงน้ำมันห้อยแขวนไว้ตามเสาเป็นระยะๆ ทำให้ทั่วบริเวณค่อนข้างสว่างไสว ออลูนและแอมเบอร์เปิดประตูออกไปก็พบว่ามีทหารยืนรักษาการอยู่เพียงสองสามคน ออลูนแอบเอาเหรียญเงินใสมือพวกทหารยามเป็นการติดสินบน จากนั้นก็ลากแอมเบอร์ไปยังกองลังไม้ที่อยู่ใกล้กับเสากระโดงเรือ

เมื่อไปถึงบริเวณลังไม้พวกหล่อนก็ต้องอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าด้านหลังลังไม้เหล่านั้นถึงกับมีคนงานสาวเล็กสาวใหญ่แอบอยู่ก่อนหน้าแล้วถึงสามคน ทั้งสามคนหันมามองพวกหล่อนแล้วส่งสายตาเป็นเชิงบอกว่า ขอเพียงไม่มาแย่งทำเลทองในการแอบดูเจ้าชายจะมีคนมาแอบดูเพิ่มอีกสักคนสองคนพวกหล่อนก็ไม่ว่าอะไร

ออลูนฉุดแอมเบอร์ให้นั่งลงด้านข้างสามคนนั้นแล้วรอคอยเงียบๆ

ประตูไม้ทางหัวเรือเปิดขึ้นอีกครั้ง ผู้ร่วมขบวนการแอบดูทั้งห้านางหันขวับไปมองเป็นตาเดียวกัน พวกหล่อนเห็นมูสกับมิลย่องออกมาด้วยท่าทางสะโหลสะเหล พวกหล่อนก็ติดสินบนพวกทหารเหมือนกัน จากนั้นก็เดินมาทางลังไม้ที่ทุกคนแอบอยู่

พอมาถึงทั้งสองคนก็เบิกตากว้าง หลังลังไม้ไม่มีที่เหลือให้พวกหล่อนได้ใช้แอบดูกันแล้วเพราะมีคนแอบอยู่ก่อนแล้วถึงห้าคน

“แหม ทีเวลาจะทำงานล่ะบอกว่าป่วย แต่ทีอย่างนี้ล่ะมีแรงลากสังขารเน่าๆ ของพวกเจ้าขึ้นมาแอบดูเจ้าชายได้นะยะ” ออลูนประชดด้วยสีหน้ารังเกียจ

“หุบปากของเจ้าไปเลยนังลูกไม่มีพ่อออลูน เจ้าเองก็ไม่ได้ไปเป็นพนักงานเสิร์ฟในงานเลี้ยงเหมือนกันแหละน่ะ สมน้ำหน้า สะใจพวกข้านัก ฮะๆ ๆ” มูสชี้หน้าด่าออลูนด้วยเสียงไม่เบานัก

“นังโสโครกนี่ กล้ามาด่าข้าว่าลูกไม่มีพ่อเลยเหรอ หากวันนี้ข้าไม่ได้ตบสั่งสอนพวกเจ้าก็อย่ามาเรียกข้าว่าออลูนอีกเลย!” หญิงสาวคำราม กระโจนใส่สองพี่น้องด้วยความโกรธจัด

“เฮ้ย!” แอมเบอร์ร้องด้วยความตกใจ ลุกพรวดขึ้นหมายจะจับออลูนไว้ แต่หลังหล่อนดันไปชนกับลังไม้ลังหนึ่งเข้าพอดี ทำให้ลังไม้ทั้งกองเทครืนลงมา

จังหวะเดียวกันนั้นเอง ประตูทางท้ายเรือก็เปิดออก เจ้าชายอนาลัสและทหารคุ้มกันพากันเดินออกมาทางประตูพอดี

เสียงโครมและเสียงหวีดร้องของหญิงสาวทั้งเจ็ดที่โดนกองลังไม้ล้มทับทำให้เจ้าชายอนาลัสขมวดคิ้ว

“เจ้าไปดูซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มสั่งทหารคนสนิทให้เดินไปดูเหตุการณ์

แอมเบอร์ค่อยๆ คลานออกมาจากภูเขาลังไม้ที่ถล่มลงมาทับตนด้วยสภาพทุลักทุเล หล่อนเจ็บระบมไปหมดทั้งตัว ไม่น่ายอมตามยายออลูนมาเล้ย ให้ตายสิ!

พอคลานออกมาได้ หญิงสาวก็เห็นรองเท้าหนังหลายคู่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าตน อย่าบอกนะว่าเป็นพวกของเจ้าชายน่ะ หล่อนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของรองเท้าเหล่านั้น

ดวงตากลมโตสบเข้ากับดวงตาคมเข้มของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วก็ถึงกับเบิกตากว้างจนแทบจะตาถลน

“เจ้า!!!!????” เจ้าชายอนาลัสอุทานพร้อมกันกับแอมเบอร์

เฮ้ย!!!!!!.................. หมอนี่มาอยู่ตรงนี้ได้ไง????????????

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel