ไม่ไร้ประโยชน์2
ถึงแม้ว่าเขาจะสติเลอะเลือนจำสิ่งใดยังไม่ได้ทั้งหมด แต่เขารับรู้ได้ว่าไม่เคยมีใครเห็นเขาแล้วมีท่าทางยินดีปรีดาส่งยิ้มอ่อนหวานให้เขาเป็นแน่
บุรุษแซ่หงได้แต่มองสตรีอ่อนหวานตรงหน้าด้วยท่าทางเยือกเย็น สายตาคมกริบของเขามองนางไม่วางตา
กิริยาท่าทางของนางที่เขาค่อนข้างจะแน่ใจว่า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้พบเจอ และเมื่อนางทำท่าทางว่าอยากจะลงจากรถม้าอย่างทุลักทุเล เขาจึงยื่นมือออกมาเพื่อจะช่วยจับพยุงนาง
ฝ่ามือเรียวเล็กนุ่มนิ่มของนางทำให้เขายากจะปล่อย หากแต่บีบแรงก็เกรงว่านางจะบาดเจ็บ เขาเห็นนางหน้าแดงเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นอย่างนั้น เขาเกรงว่านางอาจจะรู้สึกเจ็บจนต้องเก็บข่มไม่กล้าร้องออกมา เขาจึงตัดสินใจปล่อยมือแล้วจับยกนางทั้งตัวเพื่อให้นางได้ลงจากรถม้าด้วยความรวดเร็ว
ยามนี้นางยิ่งหน้าแดงหูแดงมิรู้ได้ว่าบาดเจ็บตรงส่วนใด
“พี่หง” เหม่ยหลินเรียกขานนามของบุรุษตรงหน้าด้วยน้ำเสียงหวานล้ำไม่เปลี่ยนแปลง
ทำเอาเจ้าของนามเรียกขานยิ่งจ้องมองนางด้วยสายตาคมเข้มดำดิ่งนิ่งงัน เขากำลังยอมรับว่ามิใคร่พึงใจกับนามนี้สักเท่าไหร่ มันให้ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก จิตใต้สำนึกบางประการบอกกับเขาว่า หากมีใครกล้าเรียกเขาเยี่ยงนี้ เขาคงกระชากมันมาหักคอบีบสมองจนแหลกเหลว
แม้ใจจะคิดอย่างนั้น ทว่ากิริยาต่อสตรีตรงหน้ามีเพียงมองนางนิ่งๆ มิได้เอ่ยขัดแม้ครึ่งคำ
เหม่ยหลินเห็นอย่างนั้นจึงยิ่งคลี่ยิ้มอ่อนหวานส่งให้ ด้วยเกรงว่าเขาอาจจะไม่พอใจกับกิริยาท่าทางไม่งามของนางเมื่อครู่
“ให้ข้าช่วยท่านบ้าง ได้หรือไม่” นางถามเสียงหวาน
“ช่วยอะไร” เขาหรี่ตามอง
“เอ่อ...ข้าเห็นท่านมีอาหารติดมือมา” เหม่ยหลินทำท่าครุ่นคิดหนักหน่วงที่สุดในชีวิตก่อนเอ่ยเสียงเบาอย่างไม่มั่นใจ “ข้าช่วยหาฟืนให้ดีหรือไม่”
“ย่อมได้” บุรุษตรงหน้าเอ่ยอนุญาตแค่นั้นก่อนหันหลังเดินไปยังพื้นที่โล่งไม่ไกลกันเพื่อจัดการกับไก่ป่าที่หามาได้
เมื่อเหม่ยหลินได้รับอนุญาตแล้วอย่างนั้น นางจึงรีบเดินหาฟืนเพื่อที่จะนำมาก่อไฟ
เวลาผ่านไปเกือบสองเค่อ เหม่ยหลินจึงหอบกิ่งไม้แห้งเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างหวงแหนเดินกลับมา
แต่ทว่าตรงที่พี่หงของนางนั่งอยู่กลับมีกองไฟและไก่ป่ากำลังส่งกลิ่นหอมบ่งบอกได้ว่ามันใกล้จะสุกแล้ว
เหม่ยหลินถึงกับยืนนิ่งอยู่กับที่ ทำอะไรไม่ถูกอยู่อึดใจ
นี่นางพยายามหาฟืนนานเกินไปใช่หรือไม่ ไยนางถึงไร้ประโยชน์อย่างนี้
หญิงสาวถึงกับยืนกะพริบตาปริบๆ มองกองไฟที่กำลังปะทุคุโชนส่งความร้อนใส่ไก่จนเนื้อเริ่มเป็นสีเหลืองจนกลิ่นหอมกรุ่น
นางเดินคอตกเข้ามาหาพี่หงของนางอย่างรู้สึกผิดมากมาย นางทรุดกายลงนั่งข้างๆ เขาอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง พลางวางกิ่งไม้แห้งเอาไว้อย่างทะนุถนอมบนพื้นดิน
กิริยาทุกอย่างล้วนนุ่มนวลอ่อนโยน คล้ายขนนกลอยมากระทบปุยเมฆกระนั้น
บุรุษแซ่หงมองกิริยาอย่างนั้นของนางอย่างเงียบงัน ก่อนจะเอื้อมมือหยิบเอากิ่งไม้ของนางมาหักแล้วใส่เข้าไปในกองไฟก่อนกล่าวเสียงเย็น “กิ่งไม้ของเจ้าคงช่วยได้มาก หากไม่ได้มัน เราคงไม่ได้กินอาหารกันง่ายๆ กระมัง”
เหม่ยหลินหลุบตาลงอย่างนึกอับอายระคนอ่อนใจอย่างไร้เรี่ยวแรง
“อืม...ข้าขอโทษ” นางตอบในลำคอเบาๆ ด้วยใบหน้าแดงก่ำริมฝีปากเม้มสนิทรู้สึกผิดเพิ่มขึ้นมา
บุรุษร่างใหญ่เพียงก้มหน้ามองนางนิ่งงัน สายตาคมเข้มโฉบเฉี่ยวของเขาจ้องใบหน้าของนางไม่วางตา มุมปากของเขาที่เขารับรู้ได้ว่าไม่เคยคลี่ออกมาให้กับผู้ใด แต่มันกลับกำลังยกยิ้มบางเบาอย่างที่ไม่เคยเป็น
“ข้าออกไปหามาให้ท่านอีกดีหรือไม่” เหม่ยหลินยังคงมีความพยายามกับเรื่องกิ่งไม้ยิ่งนัก
“พอเถอะ” บุรุษแซ่หงตอบกลับแค่นั้น
เหม่ยหลินถึงกับสะดุ้งตกใจก่อนจะนิ่งเงียบไปอีกคราอย่างรู้สึกผิดฉายชัด
“ข้าขอโทษ”
“ไม่เป็นไร”
“ให้ข้าหักกิ่งไม้ใส่กองไฟก็ยังดี”
เหม่ยหลินกล่าวจบคำก็หยิบกิ่งไม้บนพื้นดินมาหักออกอย่างยากลำบาก ฝ่ามือน้อยๆ สั่นเบาๆ
ทำเอาบุรุษข้างกายถึงกับต้องเบือนใบหน้าคมเข้มไปทางอื่น เพื่อหลบรอยยิ้มตรงมุมปากที่คลี่ออกมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่ได้…