บุรุษผู้รื่นรมย์1
ไกลออกมาจากสองชายหญิงกับหนึ่งนกประหลาดตัวใหญ่
บนเชิงเขาสูงขึ้นไปปรากฏเงาร่างของชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งนั่งเอนกายอยู่บนต้นไม้เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืนแห่งรัตติกาล สายตาเรียวคมชื่นชมดวงจันทร์เต็มวงนวลกระจ่างอย่างรื่นรมย์ เขามีนามว่า เฟิงหลิว
เฟิงหลิวเป็นชายหนุ่มผู้รักอิสระดั่งกระแสน้ำไหล แม้จะเป็นถึงบุตรชายแห่งชินอ๋องครองเมือง ฝีมือเชิงยุทธ์นับว่าไม่ด้อย เป็นหนึ่งในชาวยุทธ์ที่มีผู้คนกล่าวถึง
แต่กระนั้นเขากลับไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเมืองหลวงหรือฝ่ายยุทธภพ
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังชื่นชมจันทร์งามคืนวันเพ็ญที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้ากว้าง ดวงตาดอกท้อที่บ่งบอกความเจ้าสำราญพลันเหลือบไปเห็นนกประหลาดตัวใหญ่
เมื่อหรี่ตาเพ่งมองดีๆ จึงได้เห็นชายงามสง่าผู้หนึ่งอยู่ไกลๆ ข้างกายแกร่งมีสตรีบอบบางนั่งอยู่ด้วยกัน ฝ่ายสตรีนั้นเขาไม่เห็นหน้า เพราะว่านางนั่งขดตัวพิงต้นไม้คล้ายกับหลับใหล หากแต่ฝ่ายชายนั้นกลับน่าสนใจ เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้พานพบมาก่อน
เฟิงหลิวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในห้วงคำนึงพลันนึกถึงครั้งที่ตนเองมีโอกาสเดินทางไปชมการประลองของชาวยุทธ์ ครานั้นจัดขึ้นที่หุบเขาไร้เมตตา เป็นการประลองที่จัดขึ้นมาเพื่อคัดเลือกผู้นำสาขาของสำนักแห่งหนึ่งที่สิ้นผู้นำกะทันหัน เขาไปกับอาจารย์ของเขาที่ต้องเข้าประลองเช่นกัน
ครั้งนั้นผลการประลองเป็นเช่นไรเขามิได้สนใจ หากแต่สายตาของเขากลับติดตรึงอยู่ที่ชายหนุ่มผู้หนึ่ง
ชายผู้นั้นนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงสุดของเวทีการประลอง
เหล่าชาวยุทธ์น้อยใหญ่ล้วนยำเกรง ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ของเขา
เมื่อถามอาจารย์อย่างใคร่รู้จึงได้ความว่า ชายผู้นั้นมีนามว่า หงซือกวน เขาคือเจ้าแห่งสำหนักหมื่นโลกันต์ ซึ่งทุกสำนักล้วนต้องสยบให้เขา
กลุ่มอิทธิพลมืดทุกสายล้วนมีเขาเป็นเจ้าชีวิต
สายตาของเฟิงหลิวพลันหรี่เล็กแคบลง มิคาดว่าเขาจักมีบุญได้เจอกับจ้าวยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่โดยบังเอิญ
ด้วยวิสัยของชาวยุทธ์ที่มักจะชมชอบผู้เก่งกาจมากฝีมือ เฟิงหลิวจึงอยากมีโอกาสชมสักครั้ง ว่าชายผู้นี้จะมีฝีมือสูงส่งปานใด แต่หากเขาแสดงตัวขอท้าประลอง คงไม่แคล้วเอาชีวิตมาทิ้งกระมัง
เมื่อชายหนุ่มคิดได้ดังนั้น จึงเอื้อมมือแตะเซียวหยก[1] ที่ห้อยไว้ข้างเอว มุมปากพลันยกโค้งบางเบา ก่อนจะหยิบเอาเซียวขึ้นมาไล้แผ่วที่ริมฝีปาก
ยามเมื่อลมอุ่นร้อนจากริมฝีปากได้รูปส่งออกมา เสียงกังวานทุ้มลึกพลันดังจากลำปล้องเซียว เพียงเค่อเดียวก็ปรากฏดวงตาเรียวรีมากมาย เจ้าของดวงตาเหล่านั้นคือหมาป่าสายพันธุ์อันตราย
พวกมันล้วนเป็นสัตว์นักล่าที่มีนิสัยโหดร้าย มีแรงกัดมหาศาลด้วยกรามอันหฤโหด สามารถไล่ล่าเหยื่อระยะทางหลายลี้ด้วยคมเขี้ยวที่ขย้ำได้กระทั่งกระดูกของสัตว์ใหญ่
จอมโหดเหล่านี้ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นมาฝูงหนึ่ง เดิมทีพวกมันจำศีลอยู่ในป่าลึกห่างไกลเมือง หากแต่มันถูกปลุกขึ้นมาด้วยเสียงของเซียวหยก คล้ายถูกสะกดด้วยมนต์ดำ การเคลื่อนตัวอันทรงพลังพร้อมความเร็วที่เหนือชั้น ทำให้พวกมันมาปรากฏตัวได้ดังใจ
บนต้นไม้ที่มีนกประหลาดเฝ้ายามอยู่พลันสะบัดปีกพึ่บรับรู้ถึงพลังของสัตว์ร้าย พร้อมๆ กับประสาทสัมผัสของหงซือกวนก็รับรู้ได้เช่นกัน
ชายหนุ่มเพียงหลับตาฟังต้นทางแห่งเสียงย่ำปลายเท้าที่กำลังพากันย่างกรายเข้ามาใกล้ เมื่อแน่ใจในระยะทางจึงลืมตาขึ้นอย่างสงบเยือกเย็น เขาปรายสายตาคมดำมองสตรีที่นั่งหลับอยู่ข้างกายกันนิ่งๆ
แม้ว่ากลิ่นเหม็นสาบไม่พึงประสงค์จะย่างกรายคุกคามเข้ามาใกล้ทุกที หากแต่หงซือกวนยังคงใจเย็น เขาคิดว่าตนเองไม่เคยเลยที่จะต้องสนใจสิ่งใดยามภัยมาถึงตัว หากแต่ยามนี้มิรู้ได้ว่าทำไม...
ชายหนุ่มขมวดคิ้วฉงนพลางหรี่ตาคมมองร่างบางที่หลับตาพริ้มพิงต้นไม้ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือแตะไหล่นางเบาๆ
“อือ...” เสียงตอบกลับจากสตรีผู้หลับใหลมีเพียงเท่านั้น เหม่ยหลินหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดทั้งสิ้น
หงซือกวนยิ่งหรี่ตามอง ก่อนจะจ้องนิ่งที่นางอีกครา อึดใจต่อมาจึงโน้มตัวจับอุ้มนางไว้แนบอกแล้วลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง ความนุ่มนิ่มจากเนื้อนวลที่ปะทะแผงอกแข็งแกร่ง ความหอมกรุ่นที่ปะทะจมูกโด่งสัน ทำให้เขาพลันเกิดกระแสประหลาดสายหนึ่งวูบผ่าน ปลายเท้าของร่างสูงพลันชะงัก ใบหน้าคมคายถึงกับก้มมอง สายตาโฉบเฉี่ยวจ้องนิ่งที่ใบหน้างาม สรรพสิ่งรอบกายคล้ายกับไร้ตัวตนไปหนึ่งลมหายใจ
เสียงกระพือปีกของนกประหลาดดังขึ้น บ่งบอกให้รู้ว่าภัยคุกคามกำลังเข้าใกล้ ชายหนุ่มจึงนำหญิงสาวในอ้อมแขนไปวางเอาไว้ในรถม้า ก่อนจะเบนสายตาคมดำมองสัตว์ร้ายที่มาเยือน