บทที่ 2
“ไม่มีใครเคยเตือนแม่นางบ้างหรือว่าสตรีงดงามเดินทางในจงหยวนเพียงลำพังจะประสบพบเจอกับเหตุการณ์ใดบ้าง ถ้าหากแม่นางยินดีให้ข้าน้อยต้อนรับ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ารังแกแม่นาง” เหอหญงเต๋อว่า
กุ้ยหลินอึ้งจนอ้าปากค้างกับประโยคนั้น ดวงตาคู่สวยกะพริบถี่ ใครกันแน่ที่นางต้องระวัง ถึงเหอหญงเต๋อจะพูดให้ดูดีเพียงใด แต่คนที่จ้องทำมิดีมิร้ายต่อนางก็คือเขามิใช่หรอกหรือ
“แม่นางอย่าโทษที่ข้าเป็นคนใจร้อนเกินไปเลย ถ้าหากไปกับข้า ข้ารับประกันว่าจะทะนุถนอมแม่นางเป็นอย่างดี” เหอหญงเต๋อยังคงตะล่อมนางไม่หยุด กระทั่งเห็นว่าแผ่นหลังของนางแนบติดผนังห้องแล้วนั่นแหละ เขาถึงเพ่งพิศมองนางอีกครั้ง แล้วค่อยพูดขึ้นด้วยความฉงนสงสัย
“เวลาล่วงมาหนึ่งเค่อแล้ว เหตุใดยานอนหลับจึงยังไม่ออกฤทธิ์อีก”
กุ้ยหลินยืนตัวลีบติดผนัง รู้สึกได้เห็นภาพสะท้อนในวัยเยาว์ของตนก่อนหน้าที่นางจะก้าวเข้ามาเป็นศิษย์สำนักบุปผาหยก ยามนั้นเพราะเจ้าสำนักได้ช่วยเหลือนางโดยบังเอิญ นางจึงรอดจากการโดนย่ำยีและพ้นจากความทุกข์ทรมานอันเกิดจากพิษที่รุมเร้า ทว่ายามนี้นางตัวคนเดียวไร้ที่พึ่งพิง สตรีอ่อนแอเยี่ยงนางยังจะสามารถรักษาชีวิตรอดโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นได้อย่างที่เจ้าสำนักเคยกล่าวหรือไม่หนอ
เวลานี้นางทำได้เพียงสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นไขความกระจ่างให้อีกฝ่าย เอ่ยผ่านน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “คุณชายเหอ ยานอนหลับของท่านทำอะไรข้าน้อยไม่ได้หรอก”
เหอหญงเต๋อเขม็งจ้องนางอย่างเหลือเชื่อ พลางโน้มตัวลงมาใกล้ ลมหายใจร้อนผ่าวเจือกลิ่นสุราเป่ากระทบใบหน้าสะคราญจนนางต้องเบือนหน้าหนี
“ที่แท้ แม่นางก็คือศิษย์ในสำนักนักบุปผาหยก น่าสนใจไม่น้อย”
“ข้าน้อยมิใช่...”
ริมฝีปากเล็กแดงปลั่งที่ตั้งท่าเถียงหุบลงโดยพลัน หญิงสาวคล้ายสะดุ้งเล็กน้อย ทันทีที่อีกฝ่ายก้มหน้าเข้ามาใกล้อีกนิด
“จะมิใช่ได้อย่างไรกัน สำนักบุปผาหยกขึ้นชื่อเรื่องรูปโฉม ศิษย์แต่ละนางล้วนมีฝีมือแตกต่าง หากข้าจำไม่ผิดศิษย์คนเล็กเชี่ยวชาญเรื่องพิษ นั่นก็คงเป็นเจ้า ที่สำคัญ สำนักบุปผาหยกตั้งอยู่แถบเหนือซึ่งมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ถ้าเสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่อยู่ตอนนี้เหมาะกับเขตอบอุ่นในจงหยวนก็ถือว่าแปลกล่ะ” ขณะพูด ฝ่ายตรงข้ามใช้พัดในมือช้อนคอเสื้อคลุมบุขนจิ้งจอกของนางขึ้นมาเป็นการยืนยันการคาดเดา
คำพูดของเหอหญงเต๋อทำให้กุ้ยหลินชะงักค้าง บรรยากาศเริ่มตึงเครียดมากขึ้น ประหลาดโดยแท้ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงรู้เรื่องศิษย์ในสำนักบุปผาหยกมากถึงเพียงนี้ และการที่อีกฝ่ายล่วงรู้ข้อมูลของนางย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่!
กุ้ยหลินทำท่าเลิ่กลั่ก เลียวหน้าเลียวหลังลอบสังเกตหาทางเอาตัวรอด แต่ไม่มีเลยสักนิดเดียว นอกเสียจากนางจะรนหาที่กระโดนออกทางหน้าต่างด้วยความเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตเสียก่อน
นางแสร้งถอนหายใจยาวๆ แล้วปฏิเสธกลับอีกครั้ง
“คุณชายเหอ ข้าน้อยมิกล้าเทียบตนเป็นศิษย์สำนักบุปผาหยกหรอก ข้าน้อยเป็นเพียงหญิงชาวบ้านตัวเล็กๆ อาศัยอยู่แถบเหนือ และพอรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้างเท่านั้น อีกอย่างข้าน้อยเป็นคนขี้หนาว” ถ้าหากนางถูกคนผู้นี้มอบความอัปยศ นางก็ไม่คิดที่จะทำให้ชื่อเสียงของสำนักต้องมัวหมอง หรือทำให้เจ้าสำนักต้องอับอายเพียงเพราะมีศิษย์โง่ๆ เช่นนางหรอก
เหอหญงเต๋อเผยรอยยิ้มเปี่ยมความเชื่อมั่น ดวงตาเป็นประกายวาบประหนึ่งนายพรานที่ต้อนเหยื่อจนมุมแล้ว “ดี! งั้นเราค่อยมาดูกันว่าเจ้าจะใช่ศิษย์บุปผาหยกหรือไม่หลังจากไปถึงเคหาสน์ตระกูลเหอ แต่ต่อให้เจ้าจะเป็นศิษย์บุปผาหยกหรือไม่ ในเมื่อข้าสนใจในตัวเจ้า เจ้าก็ไม่มีทางหนีข้าไปได้” สิ้นประโยคเหอหญงเต๋อหัวเราะขึ้นจมูกอย่างชั่วร้าย
ถ้อยคำนั้นราวกับอสุนีบาตฟาดลงกลางศีรษะ กุ้ยหลินกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น สายลมระลอกหนึ่งพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างนำพาไอเหยียบเย็นขุมหนึ่งให้แล่นวาบไปทั่วสรรพางค์
นางขบริมฝีปากแน่น พยายามเค้นสมองคิดหาช่องทางหนีเอาชีวิตรอด วิชายุทธ์ที่นางฝึกมาล้วนแต่พื้นๆ ดังนั้นหากนางจำเป็นต้องประมือกับเหอหญงเต๋อ นางคงต้านทานได้เพียงแค่สองสามกระบวนท่าเท่านั้น ทว่าต่อให้ไม่มีทางรอด หรือต้องดิ้นรนจนเฮือกสุดท้ายนางก็จะทำ!
การกระทำรวดเร็วเท่าความคิด จังหวะที่เหอหญงเต๋อไม่ทันได้สังเกต กุ้ยหลินล้วงเอาอะไรบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อข้างซ้าย พริบตานางซัดยาผงกระดูกอ่อนไปด้านหน้า ก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดออกทางหน้าต่างวิ่งหนีสุดฝีเท้า
แต่แล้วในฉับพลัน เหอหญงเต๋อกางพัดจีบในมือออก โบกสะบัดสองสามที ยาผงไร้สีไร้กลิ่นที่นางโปรยใส่เขาเมื่อครู่ถูกพัดไปยังทิศทางอื่นอย่างรวดเร็ว
เกิดเสียงตุบ! คล้ายของหนักหล่นลงพื้นติดต่อกันสองครั้งดังมาทางด้านหลัง ชายหนุ่มเอี้ยวหน้ากลับไปมองก็พบร่างอ่อนปวกเปียกของชาวยุทธ์หนุ่มที่เพิ่งร่วงลงมาจากขื่อเพดาน คาดว่าคนพวกนี้คงซ่อนตัวอยู่ด้านบน หมายชิงสตรีงดงามเช่นเดียวกัน
เขาแค่นเสียงหัวเราะกับความโง่เขลาของชาวยุทธ์พวกนั้น ก่อนสะกิดปลายเท้าพลิ้วกายตามร่างหญิงสาวไปติดๆ
ถนนในจงหยวนยาวเหยียด ผู้คนสัญจรไปมาอย่างพลุกพล่าน กุ้ยหลินวิ่งสะเปะสะปะไปตามทางแออัดคึกคัก หลบซ้ายหลีกขวาเพื่อมิให้วิ่งชนผู้อื่นจนล้มกลิ้ง
“ขอโทษ ขอโทษเจ้าค่ะ หลบทางให้ผู้น้อยด้วย... เอ่อ... คนตรงนั้นขอทางหน่อย...” พูดยังไม่ทันขาดคำใบหน้าเรียวเล็กก็ชนเข้ากับแผงอกกว้างของคนที่ยืนขวางเมื่อครู่เข้าอย่างจัง
“อ๊า!” นางอุทาน ดวงตากลมโตฉายแววขุ่นเคืองเล็กน้อย ไล่มองบุรุษหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีขาวสะอาดทั่วร่างแล้วให้สะดุ้งเฮือกเมื่อสบเข้ากับดวงเยียบเย็นคู่นั้น
ตอนแรกชายหนุ่มมองผ่านนางไปอย่างมิใคร่ใส่ใจนัก แต่แล้วเขาก็ดึงสายตากลับมาบนดวงหน้าใสพิสุทธิ์อันเจือไว้ซึ่งความหวาดกลัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นฝ่ามือใหญ่ก็กุมข้อมือของนางไว้แน่น
นางนิ่งตะลึงไป ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจับนางไว้ทำไม
จังหวะนั้น เหอหญงเต๋อที่ตามหลังนางมาติดๆ พลันตระโกนขึ้น “ขอบคุณคุณชายที่ช่วยจับตัวฮูหยินของข้าน้อย”
วาจาของเหอหญงเต๋อดึงสตินางกลับมาในเสี้ยววินาที นางตัดสินใจสะบัดแขนแรงๆ ด้วยท่าทางร้อนรน แต่ดูท่าฝ่ามือใหญ่จะยิ่งกำแน่นขึ้นไปอีก
“ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด” นางอ้อนวอนด้วยท่าทางน่าเวทนา สองตาแดงก่ำ
บุรุษหนุ่มขมวดคิ้วแน่น ดวงตาคมลุ่มลึกยากจะคาดเดายังคงตรึงอยู่บนดวงหน้านางตลอดเวลา
นางสูดจมูกโดยแรง ไม่เคยคาดคิดว่าตนเองจะพบจุดจบอันน่าเวทนา ตกอยู่ในสถานการณ์หนีเสือปะจระเข้เช่นนี้
กุ้ยหลินทำไหล่ห่อ บัดนี้หยาดน้ำใสประดุจไข่มุกค่อยๆ ไหลรินอาบสองแก้มนวล กระทั่งเหงื่อเย็นเฉียบยังเปียกโชกเต็มแผ่นหลังเพราะความหวาดกลัว
ชั่วชีวิตนี้นางไม่เคยสร้างความแค้นให้ใครหรือเบียดเบียนผู้อื่น เหตุใดคนพวกนี้ถึงได้จ้องทำร้ายนางด้วย
ครั้นเห็นอาการเสียขวัญ เหอหญงเต๋อสบโอกาสเข้ามาประชิดร่างนางพลางว่า “คุณชายได้โปรดปล่อยมือจากภรรยาของข้าเถิด”
ชายหนุ่มปรายตามองเหอหญงเต๋อแวบหนึ่ง แววตาคมกริบจ้องมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางเคร่งเครียดเย็นชา ยังผลให้เหอหญงเต๋อชะงักงัน
“คุณชาย ช่างบังเอิญเสียเหลือเกิน ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นภรรยาข้าเช่นกัน”
วาจานั้นจุดเพลิงโทสะเหอหญงเต๋อให้พลุ่งพล่าน ตรงข้าม กุ้ยหลินที่ยืนร่ำไห้เงียบๆ เวลานี้ดวงหน้าเนียนเต็มไปด้วยอาการตื่นตะลึงระคนงงงวย ได้แต่ส่ายหน้าดิก มิกล้าปริปากเอ่ยวาจาแต่อย่างใด
ภรรยา? ภรรยาอะไรกัน