บทที่ 7 ความเงียบทำให้รู้จักคน
หว่านเอ๋อร์หยุดมือที่กำลังเช็ดเนื้อตัวให้องค์หญิงน้อยทันใด แล้วยัดผ้าในมือตนใส่มืออ้วนกลมข้างหนึ่ง
"ในเมื่อพูดไม่ได้ หูยังหนวกเจ้าก็ดูแลตนเองเสียสิ"
อาฉีมองผ้าในมือตนเอง แล้วมองหน้านางผู้นั้นนางแสร้งทำท่าทางไม่เข้าใจ หว่านเอ๋อร์รำคาญยิ่งอยากจะกลับไปรับใช้อ้ายเจิงจนเต็มแก่ นางไม่มีอารมณ์จะอยู่กับเด็กอ้วนผู้นี้เลยแม้แต่น้อย
"เช็ดตัวเองสิ เช็ด ๆๆๆ"
นางทำท่าเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้อาฉีดู ก่อนจะคว้าเตาอุ่นที่วางอยู่บนเตียงมากอดเอาไว้เสียเอง
อาฉีถอนหายใจ นางค่อย ๆ ใช้ผ้าเช็ดตามเนื้อตัวตนเองช้าๆ เพราะมีมือข้างเดียวจึงทำไม่ถนัดนัก เมื่อครั้งมองไปยังสตรีผู้นั้นกลับได้รับเพียงสายตาดูแคลนที่มองตอบกลับมา
อาฉีวางผ้าลงในอ่างแล้วดึงแขนเสื้อกว้างของหว่านเอ๋อร์ ก่อนจะชี้ไปที่อ่างให้นางช่วยชุบน้ำและบิดผ้าให้ตนเองอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าหว่านเอ๋อร์จะเกิดรำคาญขึ้นมา จึงด่าทอออกมาเสียงดัง
"น่ารำคาญยิ่ง"
ว่าแล้วนางพลันปัดอ่างล้าวมือทิ้งกระทั่งมันตกลงพื้น เสียงดังโครมครามคงทำให้ทหารข้างนอกได้ยินพวกเขาตะโกนถามเข้ามา
"เกิดเรื่องอันใดขึ้นข้างใน"
หว่านเอ๋อร์มองหน้าองค์หญิงน้อยด้วยสายตาราวกับคนที่เป็นศัตรูกัน มานานนับปี แล้วตอบกลับทันใด
"ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ องค์หญิงซุกซนไปหน่อยจึงทำอ่างน้ำหล่น"
"ต้องการใหม่หรือไม่"
ทหารผู้นั้นถามต่อ
"ไม่แล้วเจ้าค่ะ เรียบร้อยแล้ว"
จะบอกว่าเรียบร้อยได้อย่างไร ในเมื่อใบหน้าขององค์หญิงทั้งเนื้อตัวหลายแห่ง ยังเกรอะกรังด้วยคราบเลือด
อาฉีเม้มปาก ไม่ได้โต้แย้ง แกล้งไม่ได้ยินสิ่งที่หว่านเอ๋อร์พูด นางเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น ในขณะที่หว่านเอ๋อร์เอ่ยว่า
"เสื้อผ้าพวกนี้ นายท่านให้ข้านำมา ใส่ได้ก็ใส่ ใส่ไม่ได้ก็ไม่ต้องใส่ ดูสิอ้วนขนาดนี้จะสวมเข้าไปได้อย่างไร"
อาฉีต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเองในขณะที่นางบ่าวผู้นั้นเอาแต่นั่งมองอย่างเบื่อหน่าย และหัวเราะหยันเมื่อนางพยายามยัดแขนใส่ในเสื้อผ้าที่รัดติ้วกระทั่งดูเหมือนบ๊ะจ่างที่ถูกมัดอย่างแน่นหนาจนขยับตัวไม่ได้
แต่มันก็ยังดีกว่าเสื้อผ้าชุดเดิมของนางที่เต็มไปด้วยกลิ่นเลือดและความตาย
เมื่อนางใส่เสื้อผ้าเสร็จทหารก็ขอนำอาหารเข้ามา
อาหารถูกวางเต็มโต๊ะ ล้วนเป็นของง่าย ๆ จำพวกเนื้อแห้งย่างไฟ และแป้งย่าง ยังมีน้ำซุปชามใหญ่ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใด
สาวใช้ผู้นั้นเมื่อมีคนเข้ามา นางแสร้งเก็บอ่างน้ำที่ตนเองปัดหล่นพื้นแล้วเอ่ยเบาๆ
"องค์หญิงทรงต้องระวังให้มากกว่านี้นะเพคะ ดูสิน้ำหกเต็มพื้นแล้ว"
อาฉียังไม่ยอมพูด กระทั่งทหารสองคนที่นำอาหารเข้ามากลับออกไป นางผู้นั้นจึงนั่งวางมาดบนโต๊ะอาหาร และยกถ้วยซดน้ำชา ทั้งเริ่มกินอาหารราวกลับเป็นของตนเองโดยไม่สนใจอาฉีอีก
อาฉีนั่งอยู่บนเตียงอุ่นตัวอ้วนกลม มองไปมองมาดูคล้ายแป้งซาลาเปากลม ๆ ที่มีดวงตาสองข้างช่างน่าขันยิ่งนัก
น่าประหลาดที่ภาพนี้ชวนให้หิวข้าวนัก
"องค์หญิง เจ้าอ้วนมากแล้วไม่ต้องกินมาก อาหารพวกนี้ก็ยกให้ข้าแล้วกัน"
น่าประหลาดที่อาการหิวของอาฉีในตอนนี้หายไปจนหมดสิ้น นางนั่งมองบ่าวกินตาปริบ ๆ ไม่พูดไม่จาสักคำ
หว่านเอ๋อร์กินอาหารจนอิ่ม ถึงจะไม่ใช่ของชั้นเลิศแต่ก็นับว่าดีกว่าหลายๆ มื้อที่นางกินมา
"ของเหลือนี่ เจ้าก็มากินได้"
หวานเอ๋อร์ลูบท้องตนเอง คิดว่าตัวเองมีคุณธรรมยิ่งจึงกวักมือเรียกอาฉี องค์หญิงน้อยจึงลุกขึ้น เดินต้วมเตี้ยมชักช้ามาที่โต๊ะ
หว่านเอ๋อร์นึกสนุก เห็นท่าทางประหลาดเช่นนั้น จู่ ๆนางพลันลุกขึ้น ในขณะที่อาฉีกำลังก้าวขา นางกลับยื่นขาข้างหนึ่งไปขัดขาของอาฉี
องค์หญิงน้อยพลันเสียหลักล้ม หัวฟาดเข้าไปที่เหลี่ยมโต๊ะอาหารอย่างแรง เลือดไหลอาบย้อม กระนั้นอาฉียังกัดฟันไม่ร้องออกมาสักแอะ
หว่านเอ๋อร์ตกใจยิ่ง ร้องออกมาว่า "แย่แล้ว"
นางตั้งสติและคิดได้ว่าองค์หญิงเป็นใบ้ ก็บอกว่านางลื่นเองก็เท่านั้น สตรีบ้าใบ้ผู้นี้จะเอาอะไรมาแก้ต่างให้ตนเอง
หว่านเอ๋อร์ไม่คิดแม้แต่จะพยุงอาฉี ปล่อยให้นางตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้นด้วยตนเอง จากนั้นก็แสร้งร้องไห้ ตะโกนเรียกทหารให้ตามท่านหมอ
"แย่แล้วนายท่าน องค์หญิงล้มศีรษะกระแทกจนได้เลือดแล้วเจ้าค่ะ รีบตามท่านหมอเร็วเข้า"
หว่านเอ๋อร์ต้องการให้อ้ายเจิงนึกรำคาญองค์หญิงน้อยที่เอาแต่ก่อเรื่องและขับนางผู้นี้ไปเสีย นางจะสร้างเรื่องสักหน่อยว่าองค์หญิงดื้อรั้นจนเกิดลื่นไถลไปเอง
คราวนี้ นอกจากท่านผู้บัญชาการแล้ว หว่านเอ๋อร์จะได้ไม่ต้องปรนนิบัติผู้อื่นอีก
ทหารรีบเข้ามาดู เห็นบริเวณศีรษะขององค์หญิงน้อยมีเลือดอาบรู้สึกตกใจยิ่ง คนหนึ่งวิ่งไปตามท่านหมอ อีกคนหนึ่งวิ่งไปรายงานอ้ายเจิง
อ้ายเจิงกำลังวางแผนรบระหว่างรอลู่หนิงหวังและหานเซียวที่กำลังตามมาสมทบกลับต้องขมวดคิ้ว เมื่อมีคนมารายงานว่าองค์หญิงน้อยลื่นล้มจนศีรษะแตก
เขาถอนหายใจ หยิบพัดคู่กายขึ้นมาแล้วเร่งมาดูทันใด น่าประหลาดยิ่งท่าทางองค์หญิงก็หาได้ซุกซนอันใด เหตุใดจึงล้มได้
กระทั่งเขาเข้าไปในกระโจมขององค์หญิง อาฉีเพียงเห็นเขาก็น้ำตาคลอ ท่านหมอที่เพิ่งกลับไปได้ไม่นานก็ต้องรุดกลับมาอีกครั้งเปิดกระโจมตามอ้ายเจิงเข้ามาติด ๆ
"อาฉีเจ้าลื่นล้มได้อย่างไร"
ร่างอ้วนๆ โผเข้ากอดอ้ายเจิง เขาเองไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่รับนางเอาไว้ เห็นนางในอาภรณ์ที่คับแน่นพลันรู้สึกอึดอัดและไม่ชอบใจ เขาใช้แรงค่อนข้างมาก พานางมาที่เตียง กอดนางไว้จากด้านหลัง
"ให้ท่าหมอดูแผลของเจ้าก่อน อยู่นิ่งๆ"
อาฉีพยักหน้า ยอมพิงอกของเขานิ่ง ๆตามที่อ้ายเจิงบอก
"ท่านหมอเชิญ"
ท่านหมอรีบตรวจดูแผลให้อาฉี เขาปล่อยให้ท่านหมอเช็ดแผลให้นางพลางถามว่า
"เป็นอย่างไรบ้าง"
ท่านหมอเช็ดเลือดและตอบเบาๆ
"แผลไม่ลึกขอรับ ไม่ต้องเย็บ ใช้ยาทาและพันแผลเอาไว้ไม่กี่วันก็สมาน ข้าน้อยจะจัดยาเพิ่มให้"
อ้ายเจิงพยักหน้า เขาย่อมวางใจในหมอทหาร เรื่องบาดแผลนี้นับว่าท่านหมอชำนาญยิ่ง
อาฉีจับมือเขาแน่นนางเจ็บแต่กลับไม่ร้องสักแอะ เด็กคนนี้อดทนยิ่งช่างน่าชื่นชม
อ้ายเจิงจึงเริ่มซักไซ้บ่าวผู้นั้น
"เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดทำตนเองเจ็บตัวเช่นนี้"
เขาหันมามองนางอุ่นเตียงของตนทั้งใช้สายตาเข้มขรึมที่ทำเอาคนสั่นสะท้านมองมายังนาง
หว่านเอ๋อร์รู้สึกหวาดกลัว นางตัวสั่นเล็กน้อยกระนั้นยังก้มหน้าเศร้าเอ่ยคำเท็จหน้าตาย ทั้งยังทำน้ำเสียงให้ตนเองดูน่าสงสารคล้ายกำลังตกใจยิ่ง
"นายท่าน หว่านเอ๋อร์กำชับแล้ว ให้องค์หญิงค่อย ๆ เดิน แต่ทรงไม่ฟัง กระโดดโลดเต้นจนเสียหลักล้มเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่คุ้นเคยกับเลือดเห็นแล้วก็ชวนให้หน้ามืดนัก"
อ้ายเจิงยิ่งฟังยิ่งรู้สึกแปลกใจ
"เจ้าพูดจริงหรือ องค์หญิงหรือกระโดดโลดเต้น"
หว่านเอ๋อร์พยักหน้า
"จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ ข้าน้อยพยายามห้ามปรามแล้ว หรือองค์หญิงจะสติไม่ดีเจ้าคะ ถึงคิดทำเรื่องเช่นนั้น"
อ้ายเจิงมองพื้นที่เปียกชุ่ม
"เหตุใดน้ำนองพื้นเช่นนี้"
หว่านเอ๋อร์เอ่ยตะกุกตะกัก
"เป็นองค์หญิงที่ไม่พอใจข้าน้อย ปรนนิบัติไม่ถูกพระทัยจึงโวยวาย ปัดอ่างน้ำทิ้งจนเปียกไปหมดเช่นนี้เจ้าค่ะ"
ท่านหมอกำลังช่วยอาฉีใส่ยาที่ศีรษะถึงกับหันมามองเล็กน้อย องค์หญิงน้อยผู้นี้ดูท่าทางสงบเสงี่ยม และหวาดกลัวนัก จะเอาเรี่ยวแรงใดมาเหวี่ยงใส่ผู้อื่น แต่ก็หาใช่เรื่องของเขา ท่านหมอจีงตั้งใจทำเพียงหน้าที่ของตนเองไม่เอ่ยคำใดออกมา
อ้ายเจิงขมวดคิ้ว นางผู้นั้นจึงเอ่ยต่อ
"นายท่านเจ้าขา องค์หญิงน้อยผู้นี้คล้ายจะสติวิปลาส ประเดี๋ยวหัวเราะประเดี๋ยวร้องไห้ ประเดี๋ยวคลุ้มคลั่ง ข้าน้อยว่านายท่านขังเอาไว้ก็ดีนะเจ้าคะ"
อาฉีเอ่ยออกมาเป็นครั้งแรก
"เจ้าลองพูดอีกคำสิ ข้าจะดูว่าลิ้นของเจ้ายังอยู่ที่เดิมหรือไม่"
อาฉียกมุมปากเล็กน้อยจ้องมองนางอย่างเหี้ยมโหด ในขณะที่นางผู้นั้นตกตะลึง กล่าวตะกุกตะกักคล้ายกับว่ามีสิ่งใดยัดปากนางอยู่
"นะ นี่ จะ เจ้า พูดได้หรอกหรือ"