บทที่ 6 อาการป่วย
อ้ายเจิงหมอมองร่างอ้วนท้วนขององค์หญิงแล้วทอดถอนใจ ทำอย่างไรนางก็ไม่ยอมพูดกับท่านหมอ เขาจึงอาสาเป็นคนสื่อสาร
"ท่านหมออยากรู้สิ่งใดเล่า เดี๋ยวข้าจะลองถามองค์หญิงน้อยแทนท่าน"
"ดียิ่งขอรับ หากองค์หญิงยอมพูด การรักษาจะได้ง่ายขึ้น"
"ท่านอยากซักถามสิ่งใดก็ว่ามาเถิด"
หลังจากท่านหมอถามเขา อ้ายเจิงก็ถามนางต่อ
"องค์หญิงรู้สึกเจ็บตรงที่ใดหรือไม่"
นางส่ายหน้าและยังจ้องเขาเขม็ง
"เจ้าโดนกระแทกมาหรือไม่ เช่นถูกผลัก หรือตกจากที่สูง"
นางส่ายหน้าอีกเมื่อท่านหมอลงมือกดช่วงท้องของนาง ด้วยรู้ฐานะของนางอ้ายเจิงจึงกระอักกระอ่วนยิ่งนักที่จะให้บุรุษอื่นแตะต้องนาง แต่ทว่าที่นี่คือชายแดนไม่มีตัวเลือกมากนัก หมอทหารล้วนเป็นบุรุษไม่มีการแบ่งแยกการรักษาไม่ว่าหญิงหรือชาย
แต่สตรีนางนี้กลับไม่โวยวายสักนิดว่าผู้ใดจะแตะต้องตัวนาง นิ้วอ้วนป้อมยังคงจับชายเสื้อเขาเอาไว้แน่น กระทั่งเขากลัวว่านางจะกระชากมันขาด
อ้ายเจิงจึงดึงมือของนางออกแล้วเกาะกุมเอาไว้แทน เขามองเห็นรอยยิ้มกระจ่างในดวงตาของนาง ทำให้เขาอดยิ้มตามไม่ได้
นังหนูผู้นี้ยามยิ้มเหตุใดจึงงามนัก คล้ายว่าโลกทั้งโลกเบ่งบานไปพร้อมกับนาง
แต่ในยามนี้มิใช่เวลามาชื่นชมผู้ใด เมื่อสอบถามอาการของนางอย่างละเอียด ก็ไม่พบอาการผิดปกติอื่นใด
"องค์หญิงของดี ๆ ในใต้หล้าท่านคงกินมามากจึงทำให้ภายในแข็งแรงยิ่ง เช่นนี้นับว่าไม่เสียเปล่าแล้ว"
หลังจากท่านหมอออกไปแล้วอ้ายเจิงจึงเอ่ยว่า
"องค์หญิงน้อย ท่านปล่อยข้าก่อน ประเดี๋ยวข้าจะให้เรียกให้คนมาดูแลท่าน"
นางยังคงกำชายเสื้อของเขาเอาไว้ อ้ายเจิงรู้สึกอ่อนใจ กระนั้นเขาก็ยังกล่าวอย่างใจเย็น
"ท่านไม่ต้องกลัว ข้าไม่ไปไหนอยู่แถว ๆ นี้ ประเดี๋ยวจะให้บ่าวมาดูแล"
เขาทำท่าลุกขึ้น นางผวาตามเขามาและเอ่ยร้อนรนพร้อมกับกอดแขนเขาแน่น
"พี่ชาย ข้ากลัว"
เมื่อนางจ้องเขาด้วยดวงตาไหวระริก ยังมีน้ำคลออยู่ในนั้น อ้ายเจิงไม่มีทางเลือก เขาไม่เคยชินกับการเลี้ยงเด็ก หากเป็นสตรีนางหนึ่งเขายังพอคิดคำปลอบโยนได้
"พี่ชาย"
นางเรียกเขาอีกคำ เขาจึงถอนใจ
"ได้ข้าจะเป็นพี่ชายให้เจ้า แต่เจ้าต้องเชื่อฟังพี่ชายเป็นข้อแลกเปลี่ยน"
องค์หญิงน้อยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
"ดี องค์หญิงฟังพี่ชายให้ดี พี่ชายจะปกป้ององค์หญิงเอง อยู่ที่นี่องค์หญิงจะปลอดภัย ที่นี่มีแต่คนใจดี พี่ชายมีเรื่องต้องจัดการองค์หญิงโตแล้วต้องเข้มแข็งเข้าใจหรือไม่"
นางกะพริบตาปริบ ๆ
"อาฉี พี่ชายเรียกข้าว่าอาฉี"
"ได้ อาฉีเชื่อฟังพี่ชาย ยังมีเรื่องบิดามารดาของเจ้า เรื่องแคว้นของเจ้าที่พี่ชายต้องสะสาง เจ้ารอที่นี่ รักษาตัวให้ดีและต้องเชื่อฟังประเดี๋ยวจะมีบ่าวเข้ามารับใช้ ให้นางดูแลเจ้าอย่าหนีไปที่ใดอีก"
อาฉีพยักหน้าก่อนจะเอ่ยออกมาคำหนึ่ง
"พี่ชายที่นี่มีอาหารหรือไม่ ข้าหิว"
อ้ายเจิงแทบจะพ่นหัวเราะออกมา พิจารณาจากรูปร่างอ้วนกลมราวลูกสุกรแล้ว เขาควรให้นางกินมากน้อยเพียงใด อืม คิดดูแล้วข้าวโถใหญ่กับอาหารหลายอย่างก็คงจะพอ
"ได้สิเดี๋ยวจะให้คนนำอาหารมาให้ เจ้ารออยู่นี่นะ"
นางดึงมือเขาเบา ๆ
"พี่ชาย ท่านพ่อท่านแม่รวมทั้งพี่ชายแท้ๆของข้า ข้าอยากฝังศพพวกเขา"
อ้ายเจิงรู้สึกจุกในใจ เด็กสาวผู้นี้ผ่านเรื่องราวสุดแสนเลวร้ายมาได้อย่างไรกัน
ในขณะที่อาฉีมองเขา น้ำตาหยดแหมะลงมา นางเพียงอยากแข็งแรงเร็ววันถึงเรียกหาอาหาร
นางเพียงอยากมีแรงฝังศพบิดามารดา และคนในครอบครัว
นางหวาดกลัวมาก แต่กลับมีหวังเพื่อรอคอยอ้ายเจิง นางไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร แต่เขาคือคนคนเดียวที่นางคิดจะพึ่งพิงตามที่นางกำนัลคนสนิทบอกไว้ก่อนปกป้องนางจนตัวตาย
เขาคือพี่ชายบุญธรรมที่ได้รับการแต่งตั้ง เขาย่อมช่วยนาง
"เจ้าไม่ต้องห่วง พระศพท่านอ๋องและพระชายาจะได้รับการฝังอย่างสมพระเกียรติ"
อ้ายเจิงตบหลังมือของนางเบา ๆ อาฉียอมคลายมือและมองตามแผ่นหลังของเขาจนลับสายตา
ไม่นานก็มีสตรีนางหนึ่งเข้ามา ในมือของสตรีนางนั้นมีเสื้อผ้าใหม่ชุดหนึ่ง
นางผู้นั้นคำนับองค์หญิงน้อย แต่กินิยานั้นเป็นแบบส่งๆ
"องค์หญิงหรือข้านึกว่าคือสาวงาม โล่งอกไปทีที่เจ้าอ้วนท้วนราวลูกหมูเช่นนี้"
ที่แท้อ้ายเจิงให้สตรีนางหนึ่งมารับใช้อาฉี สตรีนางนี้เป็นเชลยจากสงครามที่หน้าตาจิ้มลิ้มและเป็นนางอุ่นเตียงของอ้ายเจิง
เดิมทีนางคิดว่าด้วยหน้าตางดงามของนางจึงหมายปีนขึ้นเตียงผู้บัญชาการทหาร ด้วยนิสัยเสเพลอ้ายเจิงย่อมไม่ปฏิเสธ พอได้สมใจนึกว่าจะได้นั่งอยู่บนหัวผู้อื่น ที่ไหนได้ยามนี้กลับยังต้องมาคอยรับใช้เด็กอ้วนผู้หนึ่งซึ่งมีท่าทางยโสโอหังอย่างยิ่ง
ถึงนางจะเป็นเชลยเดิมทีก็เป็นลูกคนมีเงินมาก่อน มีบ่าวรับใช้เป็นของตนเอง แต่ยามนี้กลับต้องมารับใช้ผู้อื่นทำให้นางไม่พอใจอยู่มาก
แม้ตำแหน่งเดิมจะเป็นถึงองค์หญิง แต่ทว่าก็เป็นเชลยสงครามเช่นกันมิใช่หรือ
เหตุใดนางจำต้องมาดูแลด้วย
องค์หญิงน้อยไม่พูดจา ปล่อยให้สตรีที่มีชื่อว่าหว่านเอ๋อร์ปรนนิบัติ
"องค์หญิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเองได้หรือไม่"
อาฉีไม่พูดเพียงแค่ปรายตามองสตรีผู้นี้
"หรือท่านเป็นใบ้ ตั้งแต่ข้าเข้ามายังไม่ทันพูดสักคำ"
อาฉีไม่ตอบ ยิ่งทำให้หว่านเอ๋อร์ผู้นี้มั่นใจว่าองค์หญิงน้อยคงเป็นใบ้
"เฮอะ ที่แท้ก็เป็นใบ้จริงๆ มิน่าเล่า เจ้าช่างน่าสงสารยิ่ง เหตุใดยังรอดชีวิตเล่า รูปร่างหน้าเกลียดยังไม่พอ ยังเป็นใบ้อีกไม่มีที่พักพิงไร้รูปโฉม ควรตายไปเสีย ยังจะมีชีวิตอยู่ให้ลำบากข้าด้วยเหตุใด"
อาฉียังคงนิ่งเงียบถึงจะโดนบ่าวผู้นี้ก่นด่าเพียงใดนางก็ไม่แสดงอาการอันใดออกมา กระทั่งหว่านเอ๋อร์เอ่ยว่า
"องค์หญิงอ้วนเจ้าอย่าบอกข้าว่านอกจากเป็นใบ้แล้วเจ้ายังหูหนวกอีกนะ"
อาฉีไม่ตอบนางยังคงนิ่งเงียบเพิ่มเติมคือทำท่าไม่ได้ยินคำที่หว่านเอ๋อร์เอ่ยแม้แต่คำเดียว และจากการพยายามสนทนากับอาฉีหลายครั้งและไม่ได้รับการตอบสนอง แม้จะด่าว่าก็ยังทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งใดขององค์หญิง ทำให้หว่านเอ๋อร์คิดว่าอาฉีพิการเป็นใบ้หูหนวกจริง ๆ
นางตะคอกอาฉี และเขย่าร่างของอาฉีอย่างแรง
"นังหมูตอนได้ยินข้าหรือไม่"
เงียบ ไร้คำตอบจากอาฉี มีเพียงดวงตาฉายแววฉงน
หว่านเอ๋อร์หัวเราะออกมา
"มีวาสนาเป็นถึงองค์หญิง แต่บัดนี้ตกต่ำเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังบ้าใบ้หูหนวกพูดไม่ได้ข้าควรสงสารเจ้าดีหรือไม่"