บทที่ 4 ตามหาคนรอด
เขารู้สึกหงุดหงิดยิ่งเมื่อถูกทหารผู้หนึ่งเข้ามาปลุกกลางดึกด้วยสาเหตุอันเร่งด่วน เขาจูบไหล่ขาวเนียนของสตรีนางนั้นที่เขาไม่รู้จักกระทั่งชื่อของนางเบา ก่อนจะถอนหายใจอย่างเสียดายความสุขบนเตียงแล้วคว้าเพียงเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกตัวเดียวคลุมร่างโดยไม่สนใจใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยคว้าพัดด้ามด้ามจิ้วคู่ใจที่วาดโดยจิตรกรเอกผู้เลื่องชื่อแล้วตามทหารมายังกระโจมของซู่อ๋องอย่างเร่งด่วน
ด้านหน้ากระโจมพบกับอวิ๋นอ๋องหานเซียวที่แต่งกายไม่เรียบร้อยเช่นกัน คิ้วของหานเซียวขมวดมุ่นในขณะที่อ้ายเจิงยังสามารถแย้มยิ้มได้แม้รู้สึกไม่สบอารมณ์เพียงใด
สองคนเดินเข้าไปในกระโจมพบลู่หนิงหวังในชุดแม่ทัพเต็มยศกำลังยืนมองแผนที่ทหารด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
"มีสิ่งใดหรือขอรับท่านพี่"
หานเซียวเอ่ยถามทันใด ลู่หนิงหวังเม้มปากแล้วเอ่ยว่า
"มีข่าวก่อกบฏที่แคว้นลู่ ขุนนางต้องการให้แคว้นลู่แยกตนเป็นอิสระจากซูอานและคนพวกนั้นคิดกบฎกำจัดอ๋องเอ๋อรั่วแล้วขึ้นเป็นอ๋องแทน คนที่คิดก่อกบฎสั่งสมคนมานานและขุนนางพวกนั้นมักใหญ่ใฝ่สูงเกรงว่าสกุลเอ๋อรั่วจะต้านไม่อยู่ ครานี้ต้องหลั่งเลือดทาแผ่นดินแล้ว"
"ท่านอ๋องท่านหมายความว่ากบฎคิดสังหารคนในสกุลเอ๋อรั่วไม่เว้นแม้แต่เด็กและสตรีเช่นนั้นหรือ"
ลู่หนิงหวังพยักหน้า เขาใช้นิ้วลากไปตามแผนที่หนัง ซึ่งเป็นชัยภูมิของแคว้นลู่โดยละเอียด
ข่าวนี้สร้างความตกใจให้อ้ายเจิงเป็นอย่างมาก เขาคิดถึงใบหน้าท่านพ่อที่หวังว่าจะได้พบบุตรสาวบุญธรรมและช่วยรักษาโรคประหลาดของนางเมื่อสิ้นฤดูหนาวนี้
ท่านพ่อของเขาที่หวังจะมีบุตรสาวแต่อาภัยด้วยเพราะศึกษาพิษมาอย่างหนักจึงทำให้ท่านพ่อไม่อาจมีบุตรสาวได้อย่างที่ใจต้องการ
ลู่หนิงหวังชี้ไปที่จุดเชื่อมต่อของชายแดนลากมาจนถึงจุดที่พวกเขากำลังตั้งค่ายอยู่
"ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เราออกเดินทางไปช่วยท่านอ๋องทันทีก่อนที่จะสายเกินไป เราจะนำกองกำลังทหารม้าล่วงหน้าไปก่อนหนึ่งหมื่นนาย ไปทิศเหนือตรงนี้แล้วข้ามลำธารตรงนี้ไป"
อ้ายเจิงเอ่ยว่า
"แต่ในยามนี้เป็นฤดูหนาวเกรงว่าน้ำในลำธารจะแข็งจนไม่อาจข้ามได้ เราอ้อมมาทางนี้ดีหรือไม่อาจจะช้ากว่าเส้นทางเดินหนึ่งวันแต่เราจะไม่เสียเวลาหากลำธารไม่อาจข้ามได้"
หานเซียวมองหน้าอ้ายเจิง
"แต่ดูจากสถานการณ์แล้วในยามนี้เราไม่อาจช้าได้แม้แต่วันเดียว"
ลู่หนิงหวังจึงตัดสินใจ
"เช่นนั้นเราแบ่งทหารม้าออกเป็นสองส่วน อ้ายเจิงเจ้านำทหารห้าพันไปตามทางนี้ ส่วนข้ากับหานเซียวจะไปทางนี้เพื่อไม่ให้ผิดพลาด"
"อ้ายเจิงรับคำสั่งท่านแม่ทัพ"
ทหารของแคว้นซูอานแยกกันเป็นสองส่วนตามแผนที่วางเอาไว้ หิมะตกลงมาอย่างหนักจึงทำให้การเดินทางล่าช้า
เป็นไปตามที่อ้ายเจิงคาดการเอาไว้เมื่ออากาศเย็นเยียบจนทำให้แม่น้ำกลายเป็นธารน้ำแข็ง กองกำลังทหารของลู่หนิงหวังไม่อาจข้ามไปได้ด้วยอันตรายยิ่ง แรงม้าอาจจะกระแทกแผ่นน้ำแข็งจนแตกและตกลงไปในน้ำเย็นจัดได้ เมื่อเป็นดังนั้นสองอ๋องจึงเปลี่ยนเส้นทางมาตามเส้นทางที่อ้ายเจิงล่วงหน้าไปก่อน อาจจะถึงช้ากว่ากำหนดถึงสามวัน
การช่วยเหลือท่านอ๋องแคว้นลู่อาจจะไม่ทันการณ์ เมื่อข่าวที่ส่งถึงพวกเขาล่าช้าเกินไป
ฝั่งอ้ายเจิงถึงจะสามารถข้ามภูเขาที่ขวางเส้นทางทำให้การเดินทางลำบากดูเหมือนจะง่ายขึ้น แต่หิมะที่ตกลงมาแม้จะไม่หนักมากแต่ก็ทำให้การมองเห็นเป็นไปในระยะสั้นเท่านั้น
ในป่ามีกับดักมากมายจึงต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง กระนั้นอ้ายเจิงกลับไม่ยอมแพ้ ในใจหวนนึกถึงองค์หญิงน้อยลูกสุกรผู้นั้น จะหวาดกลัวเพียงใดและจะสามารถเอาตัวรอดฝ่าอันตรายครานี้จนกระทั่งเขาเดินทางไปถึงหรือไม่
สถานการณ์ในแคว้นลู่นั้นฝ่ายท่านอ๋องต้องล่าถอยหนี ด้วยขุนนางในวังล้วนเห็นชอบที่จะแยกตัวจากแคว้นซูอานและไม่เห็นด้วยกับอ๋องผู้ครองแคว้นที่ถูกแต่งตั้งขึ้นโดยฝ่าบาทแคว้นซูอาน
การไล่ล่าจึงเกิดขึ้น ทุกคนในสกุลเอ๋อรั่วต่างถูกจับกุมตัวเอาไว้
ในคืนนั้นที่เกิดการฆ่าล้างสกุลเกิดขึ้น ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บกลับมีพายุลูกเห็บที่ตกลงมาอย่างหนัก ฝนฟ้าร้องคำรามดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
องค์หญิงน้อยพยายามปกป้องมารดาที่จับมือของนางและพาหนีจึงถูกดาบฟันเข้าที่แผ่นหลังและล้มลงไป ผู้ใดต่างก็คิดว่านางได้ตายไปแล้ว ในขณะที่รวบรวมศพของบรรดาเชื้อพระวงศ์เพื่อนับจำนวนและเผาทิ้งไม่ให้เหลือซากนั้น ร่างขององค์หญิงน้อยถูกห่อหุ้มด้วยผ้าห่อศพวางอยู่เคียงข้างพระมารดาของนาง
คนชันสูตรศพจดบันทึกลงในสมุด สกุลเอ๋อรั่วต่างถูกสังหารและสิ้นใจตายทั้งสกุล
ในคืนนั้นเองเกิดเหตุการณ์ที่น่าประหลาด เมื่อองค์หญิงเอ๋อรั่วฉีหลันกลับฟื้นขึ้นมาราวปาฏิหาริย์ จากนั้นก็เอ่ยวาจาประหลาดอยู่หลายคำ ก่อนจะสลบไป ว่ากันว่าทหารสองคนที่เฝ้าสุสานต่างหวาดผวาวิ่งหนีป่าราบด้วยนึกว่านางคือผีร้ายที่ฟื้นคืนชีพ
กระทั่งความล่วงรู้ถึงเสนาผู้ก่อกบฏและยกตนขึ้นเป็นอ๋องคนใหม่ เดิมทีเขาคิดจะให้คนสังหารนางให้ตายเสีย แต่เพียงแค่คิดก็เกิดปรากฏการณ์ฟ้าพิโรธ สายฟ้าเส้นใหญ่ฟาดลงมาบนพื้นสังหารชีวิตทหารของเขาตายไปนับครึ่งร้อยในคราเดียว
อ๋องคนใหม่เร่งให้คนนำท่านซินแสเข้ามาเพื่อทำนายในสิ่งที่จะเกิดขึ้น การทำนายนี้นับเป็นความลับ นอกจากคนสำคัญเพียงไม่กี่คนถึงได้รับอนุญาตให้ฟังคำทำนายนี้
และหลังจากท่านซินแสออกมาจากตำหนักกลาง ร่างไร้สติที่ยังคงมีลมหายใจขององค์หญิงน้อยถูกนำตัวมาพบอ๋องคนใหม่ในวันต่อมา ยังมีการติดตามหมอหลวงให้เข้ามารักษาองค์หญิงน้อยเพื่อให้ฟื้นภายใต้ความสงสัยของทุกคน
คนตายไปแล้วเป็นแน่ เหตุใดจึงฟื้นขึ้นมาได้อีก หรือสวรรค์ต้องการให้นางมาบอกสิ่งใดกัน
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเหตุใดผู้ครองแคว้นคนใหม่จึงไว้ชีวิตนางหลังจากที่จับนางไปและได้สนทนากับนางอยู่พักหนึ่ง เรื่องนี้เล่าลือไปทั่วแคว้นลู่
องค์หญิงผู้หนึ่งที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่นมิหนำซ้ำยังมีพระพักตร์ที่ไม่นับเป็นสาวงาม และไม่เห็นวี่แววว่านางจะกลายเป็นสาวงามในยามเติบใหญ่แม้แต่น้อย ด้วยร่างกายที่อ้วนฉุยังไม่นับรวมผิวพรรณกระดำกระด่างของนางนั้นอีก ไม่มีทางที่อ๋องคนใหม่จะมีใจให้นางจึงตัดประเด็นเรื่องความรักใคร่ประดุจหนุ่มสาวออกไป
เมื่ออ๋องคนใหม่ไม่มีใจให้นางอีกทั้งยังนับเป็นศัตรูที่ต้องสังหาร เหตุใดจึงไว้ชีวิตของนางกันเล่า
และเรื่องที่น่าประหลาดใจหลังจากที่อ๋องคนใหม่พบนางในคืนนั้นเองเขาก็สังหารศัตรูในที่มืดที่แฝงกายคิดสังหารเขาได้จำนวนหนึ่ง โดยที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
ทั้ง ๆ ที่มือสังหารลักลอบเข้ามาในห้องบรรทมโดยทางลับที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ อ๋องผู้นั้นสมควรโดนสังหารไปแล้วมิใช่หรือ แล้วเหตุใดยังไม่ตายราวกับล่วงรู้ว่าจะมีคนลอบสังหารล่วงหน้า
น่าประหลาดโดยแท้
ต่อมามีเรื่องที่ประหลาดอีกเรื่อง ด้วยคำสั่งของอ๋องผู้ครองแคว้นคนใหม่ มิได้สั่งให้ประหารชีวิตองค์หญิง แต่กลับสั่งให้กักขังนางเอาไว้ในคุกหลวง แม้ว่าหลายคนจะคิดว่าองค์หญิงน้อยยังถูกขังอยู่ในคุก แต่ความจริงนั้นนางถูกผลัดเปลี่ยนให้แต่งกายในชุดบุรุษและถูกจับใส่กรงขังพร้อมกับนางกำนัลคนสนิทและออกจากวังไปเรียบร้อย
สถานที่องค์หญิงในคราบของเด็กชายผู้หนึ่งต้องจากไปนั้นไม่มีผู้ใดรู้นอกจากคนสนิทของท่านอ๋องเท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขากำลังนางไปยังสถานที่ใด
เมื่ออ้ายเจิงมาถึง ก็สายเกินไปเสียแล้ว สกุลเอ๋อรั่วถูกสังหารจนหมดสิ้น ในใจของเขารู้สึกหวิวไหวและเศร้าอย่างประหลาดเมื่อนึกถึงเด็กน้อยหน้ากลมนางนั้น
นางจะเจ็บปวดหรือไม่ในยามที่ดาบฟาดฟันมาที่ตัวนาง