บทที่ 3 นำกำลังไปช่วยคน
"อาอวิ๋นเจ้าเคยได้ยินชื่อคนผู้นี้หรือไม่ บุตรชายของท่านพ่อบุญธรรมของข้า พี่ชายในอนาคตข้าท่านอ้ายเจิง"
เขาโด่งดังเพียงนั้น เป็นบุรุษรูปงามที่ใคร ๆ ก็ใฝ่ถึง รูปของเขายังมีคนวาดขายในตลาด งดงามยิ่งกว่าเทพเซียน อาอวิ๋นย่อมรู้จักดี
"เคยเพคะ เขาเป็นคนดังนะเพคะ"
องค์หญิงน้อยรู้สึกเป็นกังวล
"เขาจะใจดีหรือไม่ เจ้าบอกเขารูปงามแล้วใจเล่าจะงามเหมือนหน้าตาหรือไม่"
อาอวิ๋นถอนหายใจออกมา นางรู้สึกสงสารองค์หญิงน้อยที่บัดนี้ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกอ้ายเจิงปฏิเสธไม่ยินยอมสมรสด้วย ยังมีแก่ใจถามว่าเขาใจดีหรือไม่ ช่างน่าสงสารยิ่ง
"ชื่อเสียงของเขาที่มีต่อสตรีค่อนข้างดี เขาเป็นคนสุภาพอ่อนโยนเพคะ องค์หญิงโปรดวางพระทัย"
"ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี ข้าในฐานะน้องสาวบุญธรรมของเขาจะได้สบายใจ ข้ากับพี่ชายของข้าห่างกันหลายปี เขาไม่เคยเล่นกับข้าสักครั้ง เจ้าว่าท่านพี่อ้ายเจิงจะยอมเล่นกับข้าหรือไม่"
"เล่นสิเพคะ องค์หญิงของหม่อมฉันน่ารักเพียงนี้"
ความจริงอาอวิ๋นไม่ค่อยแน่ใจนักหรอก ว่ากันว่าเขาไม่ชอบเด็กเล็กเอาเสียเลย ถึงองค์หญิงจะอายุสิบสองขวบปีแล้วแต่ก็ช่างขี้สงสัยนัก บุรุษเช่นท่านอ้ายเจิงจะรำคาญหรือไม่
ในขณะที่อาอวิ๋นกำลังจะเอ่ยปากอีกคำองค์หญิงน้อยก็หลับไปเสียแล้ว อาอวิ๋นถอนหายใจ เดิมทีคิดชวนองค์หญิงไปเดินเล่นเสียหน่อย เมื่อสักครู่เสวยไปเยอะกลัวว่าองค์หญิงอาจจะอึดอัดก็เป็นได้
แต่เมื่อทรงหลับปุ๋ย ดูน่าเอ็นดูเช่นนี้อาอวิ๋นจึงคลี่ผ้าห่มแล้วห่มให้องค์หญิงแผ่วเบา ตามใบหน้าและตามแขนขององค์หญิงมีร่องรอยดำด่างอันเกิดจากแผลอยู่หลายจุด เพราะผิวพรรณขาวผ่องขององค์หญิงยิ่งทำให้เห็นรอยแผลชัดเจนและดูน่ากลัว
สตรีแค่มีเพียงรอยข่วนก็ทำให้หลายคนกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้ว แต่องค์หญิงของนางมีรอยแผลเต็มตัวเช่นนี้เมื่อโตขึ้นและรู้ความจะคิดมากหรือไม่ ได้แต่หวังว่าเมื่อไปเป็นบุตรสาวบุญธรรมของท่านหมอแล้วองค์หญิงจะหายจากผื่นคันพวกนี้เสียที
อาอวิ๋นเลิกล้มความคิดที่จะชวนองค์หญิงน้อยออกไปข้างนอก เมื่อคราวนี้ทรงหลับยาวนานกว่าทุกวัน มักเป็นเช่นนี้กิจวัตรประจำวันขององค์หญิงมีสิ่งใดกัน องค์หญิงผู้อื่นและท่านหญิงจับเข่าคุยกันทั้งยังมักจะออกไปเดินเล่นที่อุทยานกันเสมอ
แต่องค์หญิงน้อยของนางไม่มีเพื่อนสักคน เมื่อเป็นเช่นนี้กิจวัตรประจำวันจึงมีเพียงแต่ กินแล้วอ่านตำรานิ่ง ๆ หลังจากนั้นก็นอน เมื่อตื่นมาก็ทรงกินอีก วนเวียนอยู่เช่นนี้เมื่อใดจะผอมกันเล่า หากไม่ผอมลงองค์หญิงอาจจะไม่ได้สมรสไปตลอดชีวิตก็เป็นได้
ในเมื่อนายไม่ได้สมรสบ่าวอย่างอาอวิ๋นต่อให้มีพิธีปักปิ่นอีกสิบครั้งก็อย่าหวังว่าจะได้ออกเรือน
หายนะมาเคาะประตูอยูหน้าเรือนแล้ว ไม่ได้การ องค์หญิงน้อยต้องลดความอ้วนอย่างเร็วที่สุด!
เป็นเพราะเขาคือคนที่นางคิดว่าต่อไปจะกลายเป็นพี่ชายบุญธรรม เอ๋อรั่วฉีหลันจึงสั่งให้คนนำภาพวาดของอ้ายเจิงมาให้นางดู
เดิมทีอาอวิ๋นเอ่ยปากคัดค้านเพราะเป็นเรื่องผิดธรรมเนียมยิ่ง องค์หญิงสูงศักดิ์ผู้หนึ่งจะแอบดูภาพวาดของบุรุษได้อย่างไร แต่เนื่องด้วยทนรบเร้าจากองค์หญิงน้อยไม่ไหวอีกทั้งรู้ดีถึงความดื้อเงียบขององค์หญิงที่ต้องการสิ่งใดแม้จะไม่โวยวายแต่สุดท้ายก็ทรงหามาจนได้
อาอวิ๋นจึงลอบนำรูปวาดของท่านอ้ายเจิงมาให้องค์หญิงในที่สุด
องค์หญิงน้อยกะพริบตาปริบ ๆ ในมือมีขนมหวานถั่วจันทร์เสี้ยวที่ทำจากถั่วเหลืองบดจนเป็นแป้งผสมน้ำผึ้งจนเข้ากัน ตกแต่งเป็นรูปดวงจันทร์ บ้างก็เป็นจันทร์เต็มดวง บ้างก็เป็นจันทร์เสี้ยว ลงสีเหลืองนวลผ่องแล้วเอาไปทอดจนเหลืองทอง
ด้านในกรอบด้านนอกหวานมัน เป็นขนมดั้งเดิมของแคว้นลู่ที่องค์หญิงโปรดปรานยิ่ง สามารถเสวยได้ทุกวันโดยไม่มีเบื่อ
เอ๋อรั่วฉีหลันยัดขนมเข้าปากแล้วเคี้ยวกรุบ ๆ ทำหน้าตาพึงพอใจในขณะที่มองภาพวาดของอ้ายเจิงไปด้วย
"พี่ชายบุญธรรมของข้าผู้นี้รูปงามสมคำเล่าลือ รูปร่างสูงเพรียว ใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลัก ดวงตาทอประกายวิบวับประดุจดวงดารา งดงามจนสตรีต้องเขินอาย"
คำชื่นชมนี้เป็นคำที่เขียนเอาไว้ด้านหลังภาพวาดนี้ องค์หญิงอ่านเพียงครั้งเดียวก็จำได้จนขึ้นใจ แต่ความงามของเขาไม่ได้ทำให้องค์หญิงน้อยรู้สึกอันใด คงด้วยเพราะพระองค์ยังคงเยาว์วัยกระทั่งไม่เข้าใจความชื่นชอบอย่างอื่นนอกจากเรื่องกิน
"เพคะ ว่ากันว่าตัวจริงของบุรุษผู้นี้งดงามยิ่งกว่าภาพวาดเสียอีกเพคะ"
อาอวิ๋นพยักหน้า ยิ่งเห็นภาพวาดผสมกับคำร่ำลือ อาอวิ๋นคล้ายจะเห็นอ้ายเจิงผู้นี้ลอยออกมาจากภาพวาดดุจเทพเซียนผู้หนึ่ง
"แต่จะใจดีหรือไม่ เขาว่ากันว่าธรรมเนียมแคว้นซูอานเข้มงวดยิ่ง ยามอ่านไม่พูดยามกินไม่สนทนา อาอวิ๋นเจ้าว่าท่านพี่จะยินยอมให้ข้ากินขนมในห้องเรียนหรือไม่"
อาอวิ๋นอยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้ตายนัก เหตุใดองค์หญิงน้อยจึงฝักใฝ่ในเรื่องกินนักหนา ความผิดผู้ใดที่เลี้ยงดูนางให้เติบโตมาเป็นเช่นนี้
"องค์หญิง ที่แคว้นลู่ก็ไม่อาจนำขนมเข้าห้องเรียนได้เพคะ พระองค์ทรงลืมแล้วหรือ ที่ท่านอาจารย์แสร้งมองไม่เห็นและไม่ลงโทษก็เพราะองค์หญิงคือพระธิดาของท่านอ๋องผู้ครองแคว้นนะเพคะ"
"จริงหรือ เหตุใดข้าไม่เคยรู้มาก่อน"
ว่าแล้วก็ทอดถอนใจออกมา
"ยังมีตัวของข้าอีก ที่ไม่มีใครอยากเล่นกับข้าเพราะล้วนกลัวผื่นของข้าจะไปติดพวกเขาเข้า ท่านพี่เล่าจะยอมเล่นกับข้าหรือไม่"
องค์หญิงยังคงห่วงเรื่องนี้ พระองค์ไม่เคยจากบ้านจากเมือง ผื่นคันที่เป็นเหมือนโรคประจำตัวนี้นับวันยิ่งส่งผลกระทบ องค์หญิงน้อยไม่อาจมีเหงื่อได้ ตำหนักทั้งตำหนักของพระองค์จึงกลายเป็นตำหนักน้ำแข็ง หนาวเย็นตลอดปีปกป้ององค์หญิงน้อยจากความร้อนที่เป็นต้นเหตุของผื่นคัน
เพราะเช่นนี้จึงไม่อาจวิ่งเล่นเหมือนเด็กผู้อื่น มีชีวิตวัยเด็กที่น่าสงสารยิ่ง
"องค์หญิงทรงอย่ากังวลเพคะ อาอวิ๋นติดตามองค์หญิงไปด้วย ท่านหมอเทวดาผู้นั้นก็มีชื่อเสียงเรื่องความมีเมตตา ยังเปิดสำนักหมอรักษาให้ชาวบ้านที่ยากจนโดยไม่มีเก็บเงิน บุตรชายของท่านหมอย่อมใจดีไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าคนผู้นี้อาศัยสนามรบเป็นบ้าน ติดตามสองอ๋องออกรบตั้งแต่เยาว์วัย พระองค์อาจจะไม่ได้พบท่านราชเลขาอ้ายก็เป็นได้เพคะ"
"ข้าเข้าใจแล้ว เหตุใดเขาจึงมีข่าวลือเรื่องสตรีมากมายนัก"
อาอวิ๋นตกใจยิ่ง นางปกปิดเรื่องนี้จากองค์หญิง ด้วยไม่อยากให้องค์หญิงมองบุรุษที่จะเป็นสามีในอนาคตในแง่ร้าย แต่คงมีนางกำนัลปากมากเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเล่าให้องค์หญิงน้อยฟังกระมัง
"องค์หญิงคนสูงศักดิ์ผู้ใดไม่มีอนุกันเพคะ ในจวนผู้มีอำนาจไม่ว่าที่ใดล้วนมีอนุเรื่องนี้อย่าใส่พระทัยเลยเพคะ"
องค์หญิงน้อยย่อมไม่เข้าใจ
"ท่านพ่อมีท่านแม่ของข้าเพียงผู้เดียว ท่านพ่อบอกว่าสตรีล้วนน่ารำคาญมีเพียงท่านแม่ที่ไม่น่ารำคาญ"
เอ๋อรั่วฉีหลันฉลาดเฉลียวนั้นไม่ผิด แต่คนที่ตอบคำถามมิได้ฉลาดเท่านางหลายครั้งจึงทำให้คนถามไม่ได้รับคำตอบ ครานี้ก็เช่นกัน อาอวิ๋นเองไม่สามารถตอบคำถามเรื่องรักใคร่ของผู้ใดได้ ด้วยตัวของนางเองก็อายุเพียงสิบสี่ปี
ในวังแห่งนี้ที่พบเจอก็มีแต่ขันทีเฒ่า ไม่เคยเกิดความรักใคร่จริงจังกับผู้ใด นอกจากบุรุษในจินตนาการที่นางพร่ำเพ้อขึ้นมา
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่อาจสั่งสอนองค์หญิงได้เช่นกัน
ไม่นานกำหนดการที่จะเดินทางไปยังแคว้นซูอานขององค์หญิงก็ถูกกำหนดขึ้น ด้วยกำลังจะเข้าสู่หน้าหนาวอันทำให้การเดินทางยากลำบากเพราะหิมะ อ๋องเอ๋อรั่วจึงได้กำหนดให้องค์หญิงออกเดินทางในปลายฤดูหนาว
แคว้นลู่ห่างจากแคว้นซูอานราวห้าร้อยลี้ใช้เวลาเดินทางในยามปกติเพียงแค่ครึ่งเดือน แต่หากเดินทางในฤดูหนาวหรือฤดูฝนแล้วจะต้องใช้เวลาเดือนทางราวหนึ่งเดือนเลยทีเดียว ดังนั้นเพื่อย่นระยะเวลาเดินทางไม่ให้องค์หญิงต้องเหนื่อยมากนักท่านอ๋องจึงกำหนดให้เดินทางในช่วงปลายฤดูหนาว
อาอวิ๋นคิดว่าเวลาเท่านี้คงเพียงพอที่จะให้องค์หญิงน้อยลดความอ้วนลงสักเล็กน้อย ก่อนที่จะไปพบเจอว่าที่พ่อสามีเพื่อสร้างความประทับใจ แต่เพราะเป็นฤดูหนาวที่คนมักเกียจคร้าน องค์หญิงนอกจากขลุกอยู่ในเตียงอุ่นตลอดทั้งวันแล้วในปากเล็ก ๆ ของพระองค์ก็ไม่ทรงว่างเลยแม้แต่น้อย
เพราะต้องเดินทางไกลจากอกมารดาไม่รู้นานเท่าไหร่ อัครชายาจึงทรงบำรุงบุตรสาวเพียงคนเดียวด้วยขนมและอาหารชั้นเลิศ แม้ว่าอาอวิ๋นจะพยายามห้ามปรามแต่ครั้นองค์หญิงเรียกร้องหาของเสวยอัครชายาก็สั่งคนจัดการจนล้นตำหนัก
ในที่สุดอาอวิ๋นก็ถอดใจ
ชายแดนแคว้นซูอาน กลางฤดูหนาว
ในขณะที่อ้ายเจิงกำลังกกกอดสาวงามที่ถูกจับมาเป็นเชลยและยินยอมมอบกายให้กับเขาด้วยหลงใหลในใบหน้างดงามของอ้ายเจิงอย่างมีความสุข