1
“นางส้ม ในครัวไม่มีอะไรให้กินเลย แกทำอะไรของแกอยู่ห๊ะ ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน”
“ฉันซักผ้าอยู่หลังบ้านจ้ะน้าแสง” สิริวรรณรีบขานรับ ในขณะที่กำลังซักผ้าอยู่หลังบ้าน เธอปาดเหงื่อที่เต็มใบหน้าของตัวเอง
บ้านของเธอยากจนมากไม่มีเครื่องซักผ้าหรือเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรเลย ขนาดหุงข้าวยังใช้ไม้ฟืนที่เธอไปเก็บเอามาจากป่าข้างทาง
คนที่เรียกเธอโหวกเหวกอยู่นั้นคือมารดาเลี้ยงของเธอ บิดาได้ภรรยาใหม่และมีลูกด้วยกันอีกคน ท่านพาเธอมาอยู่บ้านมารดาเลี้ยง พอบิดาเสียเธอเลยต้องอาศัยอยู่กับแสงระวี โดนอีกฝ่ายโขกสับทุกวัน ส่วนน้องสาวของเธอที่กำเนิดจากแสงระวีก็สบายไปไม่ต้องทำอะไร เธอต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่ป. 6 เพราะที่บ้านไม่มีเงินส่งเรียน และออกมาทำงานช่วยที่บ้านส่งน้องสาวคนเล็กเรียน
ปัจจุบันเธออายุ 22 ปีแล้ว ยังไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย แม้แต่เสื้อผ้ายังได้ใส่ของน้องสาวที่โละทิ้งมาให้
เงินเก็บอย่าหวัง สิริวรรณถอนใจพรืด อยากจะออกไปจากชีวิตเน่าๆ นี้เต็มทน แต่เธอไปไหนไม่รอด การศึกษาเพียงแค่ ป. 6 มันไม่มีงานดีๆ ที่ไหนให้ทำ นอกจากรับจ้างเขาทั่วไป
“กับข้าวกับปลาไม่มีอะไรเลย แกไม่ทำมาหาแดกอะไรเลยเหรอไงวะ”
“ฉันไม่มีเงินแล้วจ้ะน้าแสง” คนตอบพูดอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
“ไม่มีก็ไปหามาสิ”
“ฉันเพิ่งให้รัชนีไปเมื่อวานไงจ้ะ” รัชนีคือน้องสาวต่างบิดาที่ขูดรีดเธอยิ่งกว่ามาเฟียเสียอีก ไม่ให้ก็ถูกแสงระวีด่าทอทุบตีเข้าให้ บอกว่าไม่รักน้อง ไม่อยากให้น้องได้ดี ไม่อยากส่งน้องเรียน
สิริวรรณรู้ตัวดีว่าเธอเรียนหนังสือไม่เก่ง จริงๆ คือไม่มีเวลาทบทวนตำราเรียนเลย เธอทำงานตั้งแต่เด็ก หลังจากบิดาเสียชีวิต ได้เรียนจบ ป. 6 ก็ดีแค่ไหนแล้ว
“ให้ไปแล้วก็หาใหม่สิวะ หน้าที่ดูแลครอบครัวเป็นหน้าที่แก” มันหน้าที่เธอตั้งแต่เด็ก สิริวรรณบอกตัวเองอย่างตรอมตรม
อิจฉารัชนีอยู่เหมือนกัน เกิดมาไม่ต้องทำอะไรเลย ไปเรียนก็ยังมีปัญหาติด 0 ติด ร ให้ต้องตามแก้ มารดาเลี้ยงของเธอไม่เคยไปประชุมผู้ปกครองเลย ให้เธอบากหน้าไปโรงเรียนตลอด
แถมยังด่าเธออีกว่าให้เงินน้องไปเรียนน้อย น้องเลยเรียนติด 0 เหลือเชื่อไหมล่ะ คนประเภทนี้ในโลกมีนะ มารดาเลี้ยงของเธอไง!
“จ้ะ ฉันขอซักผ้าก่อนนะจ้ะ”
“กูหิวข้าว มึงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอไงวะ” ถ้าขึ้นมึงกูตวาดแว๊ดๆ หนักๆ แบบนี้คืออารมณ์ไม่ดีสุดๆ สิริวรรณทราบได้ในทันที
“ไปหาอะไรมาให้กูกินด้วย” แสงระวีตวาดแว๊ด สิริวรรณสะดุ้งเธอรีบล้างไม้ล้างมือปั่นจักรยานไปเชื่อข้าวสารและไข่มาจากร้านป้าดา
อีกฝ่ายให้เธอเชื่อเพราะว่าเธอไม่เคยบิดพลิ้วเลย มีเงินจะรีบมาจ่าย แถมป้าดายังเห็นอกเห็นใจในชะตาชีวิตของเธอ
อาหารมื้อนั้นเป็นข้าวสวยและไข่เจียวร้อนๆ เธอมองอย่างหิวโหยแต่แสงระวีพาสามีใหม่มากินด้วยกัน เธอเลยอดไปโดยปริยาย
เธอไม่ชอบสามีใหม่ของแสงระวีเอาเสียเลย สายตาที่เขามองเธอน่ากลัวยิ่งกว่าอะไร
“มองอะไร แกจะไปซักผ้าไม่ใช่เหรอ” แสงระวีตวาดแว๊ด คงเห็นว่าสามีใหม่มองเธอตาเป็นมัน สิริวรรณหิวสุดใจ เลยหาน้ำดื่มเพื่อประทังความหิว ลูบท้องไปมาอย่างอดสูใจ ตื่นมาทำงานยังไม่มีข้าวตกถึงท้องเลยสักเม็ดเดียว
เธอซักผ้าเสร็จก็ต้องไปรับจ้างเข็นผักที่ตลาดอีก คงได้กินอะไรอีกทีตอนเย็น ในตลาดสดคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งพ่อค้าแม่ค้าและลูกค้าที่มาจับจ่ายซื้อของกันอย่างจอแจ
สิริวรรณรับจ้างเข็นผักให้แม่ค้าในตลาดที่มาซื้อของไปประกอบอาหาร ได้ค่าจ้างแล้วแต่เขาจะจ้าง
“โอ๊ย! ขอโทษจ้ะ” เธอรีบเดินจนไม่มองทางหลังจากรับเงินจากลูกค้ามาใส่กระเป๋า 20 บ. เพราะเจ้านี้จ้างให้เข็ญผักไม่เยอะ ทำให้ชนกับร่างสูงใหญ่ยักษ์ของคนเก็บเงินค่าแผงของแม่ค้าในตลาดเข้าอย่างจัง
อีกฝ่ายมองเธอไม่วางตา สิริวรรณยอมรับว่ากลัว นายยักษ์คนนี้เป็นที่สุด ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าโหดๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิง แถมยังเดินไม่ใส่รองเท้าอีก เพราะเท้าเขาใหญ่มาก ทำให้เขาแลดูน่ากลัวเป็นที่สุด