บท
ตั้งค่า

บทนำ

บทนำ

สรรพเสียงโดยรอบเงียบสงัด ขัดกับสายลมกระโชกแรง ภาพเบื้องหน้าคลาคล่ำไปด้วยทหารสองกองทัพยืนประชันหน้ากัน ไร้ซึ่งภาพฉากหลังทั้งแม่น้ำเชี่ยวกราก ภูเขาสูงตั้งตระหง่าน หรือมหาสมุทรสุดลูกหูลูกตา สองกองทัพเพียงเผชิญหน้า นิ่งสงบ ไร้เสียงสกุณาขับขาน ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาหาใช่พื้นดินแห้งแล้ง ทว่าเป็นหมู่เมฆดำทะมึนพิโรธปั่นป่วน

ลัลลินีห่อตัวมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความหวาดหวั่น แม้จะรู้ว่านี่เป็นเพียงความฝันที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กระนั้น ไม่ว่าเธอจะเฝ้าภาวนาเท่าใดกลับไม่อาจเปลี่ยนแปลงตอนจบของเรื่องนี้ได้

กองทัพด้านขวามือน่าเกรงขาม สง่างามด้วยนักรบในชุดเกราะสีทองยืนเรียงหน้ากระดานหลายร้อยนาย แถวตอนยาวยืนตรงเป็นระเบียบยิ่ง ธงรบโบกสะบัดเกรียงไกร ยอดอาชาสูงใหญ่เต็มไปด้วยพลัง หอกทวนในมือทหารแต่ละนายสะท้อนเงาคมกริบ สมเป็นมหาศาตราที่หลอมจากเตาหลอมชั้นเลิศ

ภาพกองทัพเกราะทองสะท้อนถึงความองอาจห้าวหาญ ขัดกับภาพกองทัพในชุดเกราะสีนิลด้านหน้าที่มีจำนวนทหารมากมายจนมืดฟ้ามัวดิน ประเมินด้วยสายตาอาจมากกว่าพลทหารชุดเกราะทองถึงสิบเท่า ใบหน้าที่ไม่ได้สวมหน้ากากนั้นแตกต่างจากใบหน้าของมนุษย์ธรรมดา บ้างมีเขางอก บ้างมีสามตา มีเขี้ยวงอกยาวดูน่ากลัว ท่าทางกระหายอยากจะดื่มกินเลือดเนื้อในสนามรบ ขบวนทัพมิได้เป็นระเบียบแบบแผน แต่กลับแสดงออกถึงความกระสันในการฆ่าฟัน

ทันทีที่กองทัพปีศาจขยับ หยวนจวินซ่างเสิน1 แม่ทัพสวรรค์ผู้สง่างามในชุดเกราะสีทองบนอาชาสีขาวราวกับหิมะก็โบกมือเป็นสัญญาณในเวลาเดียวกัน ธงรบหมุนเปลี่ยนตำแหน่ง เสียงแตรจากสองฝั่งดังประสาน กองทัพใหญ่ในชุดเกราะสีดำพุ่งทะยานเข้าใส่ศัตรูด้วยความกระหาย ไอสังหารคละคลุ้ง พื้นดินว่างเปล่าสั่นสะเทือนเลือนลั่นยามเหล่าทหารเกราะดำพุ่งตัวเข้าโรมรันศัตรู กองทัพสวรรค์ที่ยืนเรียงหน้ากระดานในคราแรกขยับอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า เกิดเป็นขบวนทัพที่ชวนให้ตื่นตะลึง ไม่เว้นแม้แต่เหล่าทหารเกราะดำซึ่งดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นกระหายเลือด จากคราแรกดูคล้ายพวกเขามีกำลังเหนือกว่า เพียงพุ่งเข้าใส่ก็สามารถเหยียบอีกฝ่ายไว้ใต้ฝ่าเท้า ทว่าผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ ทัพหน้าของพวกเขากลับตกอยู่ในวงล้อม แต่ละกองถูกกักไว้ในวงกลม ทหารชุดเกราะทองถือโล่ล้อมด้านนอก ทหารเกราะทองหนึ่งนายสะบัดทวนในมือหนึ่งครั้งสามารถล้มศัตรูได้ในชั่วอึดใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือบุรุษห้าวหาญบนอาชาสีขาว ทุกย่างก้าวที่แม่ทัพสวรรค์ควบผ่านล้วนเต็มไปด้วยสีแดงฉาน ทว่า...โลหิตเหล่านั้นมิอาจเปรอะเปื้อนขนอาชาอันแสนบริสุทธิ์ แปลกประหลาดราวกับมีเกราะใสคุ้มกัน

การรบดำเนินไปอย่างโหดเหี้ยม ซากศพภายใต้ชุดเกราะสีดำกองพะเนินสูงยิ่งกว่าเทือกเขา ยามนี้ผู้ที่ยังยืนหยัดอยู่ได้มีเพียงรองแม่ทัพใหญ่ซึ่งสวมหน้ากากสีดำ หนึ่งคนรับมือกับนักรบในชุดเกราะทองถึงสองสามนาย แลดูตึงมือยิ่ง ต่างจากแม่ทัพใหญ่บนอาชาสีดำที่กำลังเงื้อดาบฟันคอรองแม่ทัพในชุดเกราะสีทอง

แกร็ง!

เสียงดาบปะทะทวน แม่ทัพสวรรค์บนอาชาสีขาวเสือกทวนเข้ามาขวางได้ทันในจังหวะสุดท้าย พลิกมือจ้วงแทงจนอีกฝ่ายผงะต้องถอยหลังไปตั้งหลัก แต่ไหนเลยจะมีเวลาถึงเพียงนั้น เมื่อแม่ทัพเกราะทองเหินตัวจากหลังม้าพุ่งเข้าหาแม่ทัพเกราะดำทันที ฝ่ายเสียเปรียบรีบยกดาบขึ้นต้าน อานุภาพสองมหาศาตรารุนแรงจนผู้คนโดยรอบต่างถูกแรงปะทะ ร่างกระเด็นไปคนละทิศละทาง

“หยวนจวิน วันนี้จะเป็นวันที่ดวงจิตของเจ้าต้องดับสูญ!” เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยโทสะดังมาจากชายชุดเกราะดำ

ไม่มีผู้ใดเห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากสีทองของหยวนจวินซ่างเสินนอกจากริมฝีปากได้รูปสวยที่โผล่พ้นหน้ากากเท่านั้นที่ขยับขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับที่ชายหนุ่มพุ่งปลายทวนเข้าใส่ศัตรูโดยทันทีทันใด

แม้จะรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว แต่ลัลลนีกลับจิกเล็บลงบนฝ่ามือด้วยหัวใจลุ้นระทึก

“เอื๊อก!”

เลือดสีแดงฉานไหลทะลักเมื่อแม่ทัพเกราะดำไม่อาจหลบปลายทวนที่พุ่งเข้าใส่หัวไหล่อย่างรวดเร็ว ทว่ายอดแม่ทัพก็ยังเป็นยอดแม่ทัพวันยังค่ำ ชายชุดเกราะดำพลิกตัว ฟาดดาบในมือใส่จนด้ามทวนของศัตรูหักครึ่ง

“จงใช้มหาศาตราของเจ้าซะ อย่าได้ดูถูกข้า” ดูเหมือนแผลบนไหล่จะยิ่งสร้างความฮึกเหิมให้เขา แม่ทัพเกราะดำพุ่งตัวเข้าใส่ ดาบในมือฟาดลงหนักหน่วงราวกับจะผ่าร่างตรงหน้าให้ขาดครึ่ง

หยวนจวินซ่างเสินถอนหายใจแผ่วเบา ชักกระบี่ขึ้นต้านในจังหวะสุดท้าย การต่อสู้ของมหาบุรุษมีอำนาจทำลายล้างเป็นบริเวณกว้าง สองร่างทองดำเคลื่อนไหวรวดเร็ว จากเดิมที่แม่ทัพเกราะดำเป็นฝ่ายรุก ครู่เดียวกลับพลาดพลั้งตกเป็นฝ่ายรับ ดูเหมือนดาบใหญ่ในมือจะมิอาจต่อกรกับกระบี่ในมือศัตรู ถูกไล่ต้อนจนถอยร่นไปหลายจั้ง2 แต่แม่ทัพเกราะดำหาได้ถอดใจ กลับใช้วิชาดีดตัวพุ่งเข้าหา ไม่ปล่อยให้แม่ทัพสรรค์ทันตั้งตัว

หากทวนเมื่อครู่มีอานุภาพร้ายแรงถึงขนาดแทงทะลุเกราะสีนิลได้ กระบี่ในมือของหยวนจวินซ่างเสินยามนี้คงเป็นยิ่งกว่ามหาศาตรา แม่ทัพหนุ่มเอี้ยวตัวหลบดาบคมกล้า อาศัยช่วงจังหวะนั้นเสือกกระบี่เข้าใส่ร่างสูงใหญ่ทะลุจากหน้าไปหลัง

ทุกสิ่งหยุดชะงักในบัดดล การต่อสู้ยาวนานถึงสิบวันสิบคืนจบลงทันทีที่แม่ทัพในชุดเกราะสีดำทรุดลงกับพื้น กองทัพในชุดสีดำแตกกระซ่านกระเซ็น จากที่ล้มตายไปหลายหมื่น เหลือเพียงไม่กี่พัน อาศัยจังหวะที่ทุกคนยังตกตะลึงหันหลังหลบหนี ทิ้งผู้เป็นนายไม่หวนกลับ

ขอให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ลัลลินีได้แต่อ้อนวอนสวรรค์ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่จู่ๆ บรรยากาศโดยรอบพลันปั่นป่วนราวกับกำลังจะเกิดพายุใหญ่

“มีคนลอบเปิดผนึกเขตแดน!” หยวนจวินซ่างเสินสัมผัสกลิ่นอายมารได้ก่อนผู้ใดรีบชักบังเหียนม้าให้หยุดลง ดวงตาสีทองทอประกายกล้าขณะเพ่งสมาธิเบิกเนตรเพื่อตรวจสอบ

ภายใต้สถานะการณ์คับขัน หากมีคนยุ่งเกี่ยวกับเขตแดน พวกทหารทั้งหมดไม่ว่าเทพเซียนหรือมารก็จะถูกกวาดต้อนเข้าสู่ห้วงเวลา ถึงขั้นจิตวิญญาณถูกทำลายจนดับสูญ

ในขณะที่รองแม่ทัพและเหล่าขุนพลต่างต้องปิดผนึกพลังเวทย์เพื่อไม่ให้รบกวนหยวนจวินซ่างเสิน ผู้ถูกล่ามตรวนกลับบ้าคลั่งขึ้นมา สองตาแดงก่ำ เส้นเอ็นบนขมับปูดโปน กรีดร้องราวกับสัตว์ร้ายที่ได้รับความเจ็บปวดทรมาน

“เขากำลังอัญเชิญมหาศาตราในตำนาน...อาวุธโบราณที่สาบสูญไปหลายหมื่นปี”

รองแม่ทัพและเหล่าขุนพลทั้งหลายยังไม่ทันขยับตัวอารักขาผู้เป็นนาย พลังอำนาจและกลิ่นอายของอาวุธโบราณที่แผ่ออกมาก็กระแทกเข้ากับร่างของหยวนจวินซ่างเสินที่กำลังใช้คาถาปิดกั้นเขตแดนในช่วงสุดท้าย แม่ทัพปีศาจผู้บ้าคลั่งใช้เสี้ยวจังหวะนั้นคว้ามีดสั้นในชุดเกราะออกมา

‘ระวัง!” เสียงตะโกนของลัลลินีดังลั่น ทว่ามีดสั้นด้ามนั้นก็ยังคงพุ่งเข้าใส่แม่ทัพหนุ่ม ตัวมีดปักลงกลางหลังหยวนจวินซ่างเสิน รุนแรงจนเขากระอักเลือดตกลงจากหลังม้า ร่างสูงสง่าร่วงผ่านชั้นเมฆลงไปทันที

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel