บทที่ 4.2
จวงอวี้หลินชะงักงัน นึกอยากตบหน้าผากตัวเองนัก นางคิดน้อยเกินไปเสียแล้ว หากในชาติภพก่อน ทำผิดก็ต้องเอ่ยขอโทษ เป็นพี่น้องกันเอ่ยเรื่องแค่นี้นับว่าธรรมดาสามัญ แตกต่างจากยุคสมัยโบราณ หากมีผู้ใดมาเห็นพี่สาวย่อตัวให้น้องสาวเช่นนี้ ผู้อื่นย่อมเก็บไปติฉินนินทาน้องเล็กของนางว่าไร้ซึ่งความเคารพต่อพี่สาว เป็นตัวนางที่คิดน้อยไป ป่านนี้อีกฝ่ายคงคิดว่านางมารยาเป็นแน่
“อ้อ...” คนแก่กว่ายกยิ้มเก้อๆ สถานการณ์กระอักกระอ่วนใจดีแท้ การหลุดเข้ามาในอีกยุคสมัยโดยยังมีความทรงจำเดิมอยู่นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลย “เป็นข้าคิดน้อยไป หวังเพียงจะขอโทษเจ้าก็เท่านั้น”
“เพียงแค่นี้... ข้าก็ซึ้งใจแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้ว่าไม่อาจจะชดเชยเรื่องที่ผ่านมาให้เจ้าได้ หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาเรื่องในอดีต พี่รองของเจ้าช่างโง่เขลา หลังจากข้าตกน้ำสลบไป หลายสิ่งที่ได้พบเจอก็ทำให้คิดได้บ้างจึงอยากให้เราสองพี่น้องกลับมาคืนดีกัน ก่อนที่ข้าจะจากไปไกล” นางแสร้งทอดถอนใจจนอีกฝ่ายนิ่วหน้าเอ่ยถาม
“พี่รองหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
ไม่คาดคิดว่าทุกอย่างที่วางแผนไว้จะเป็นไปด้วยดี ชีวิตนี้นับว่านางโชคดีที่มารดาเข้าใจเมื่อเอ่ยปากขอออกจากจวนไปอาศัยที่คฤหาสน์ตระกูลฉางเพื่อเรียนรู้เรื่องการค้าขาย นางอาศัยแต่งเรื่องเทพเซียนมาอ้างว่าเหตุที่ตัวเองจมน้ำสลบไสลไปหลายวันนั้นเพราะได้ไปท่องอยู่อีกโลกหนึ่ง เทพผู้คุมครองตระกูลจวงได้ชี้แนะแนวทางว่าหากนางทำการค้าจะรุ่งเรืองช่วยเกื้อหนุนตระกูลจวงให้มั่งคั่งมีหน้ามีตา ฝ่ายบิดานั้นมิได้เห็นเป็นเรื่องใหญ่ หากเป็นเรื่องจริงตระกูลจวงก็มีแต่ได้กำไร สายสัมพันธ์ทั้งสองตระกูลยิ่งแน่นแฟ้น แต่ด้วยนิสัยเดิมของบุตรสาว ท่านราชครูคิดว่าไม่กี่วันนางคงร้องไห้วิ่งกลับจวนมากกว่ากระมังจึงเอ่ยปากอนุญาตได้อย่างง่ายดาย
ยามว่างจวงอวี้หลินจึงมักจะไปขลุกอยู่ที่เรือนมารดา ถือว่าเป็นการชดเชยให้แก่เจ้าของร่างเดิม ทั้งยังคอยเอ่ยถามเรื่องราวของสกุลฉางเพื่อเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า เพราะหลังจากเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นของจวงอวี้ฮุย นางก็จะย้ายไปอาศัยที่สกุลฉางทันทีตามคำตอบรับของท่านตา
เวลาผ่านไปราวสายน้ำ หลังพักผ่อนจนร่างกายกลับมาแข็งแรงแล้วก็ถึงเวลาเดินทางเสียที
“หลินเอ๋อร์...” น้ำเสียงติดจะเข้มขึ้นกว่ายามปกติเอ่ยทักท้วงทันทีที่มือเล็กๆ ของบุตรสาวแอบแง้มผ้าม่านรถม้า
จวงอวี้หลินขยับตัวเข้าไปโอบเอวมารดาอย่างออดอ้อน เกิดใหม่ในร่างเด็กก็ควรทำตัวเป็นเด็กจึงจะเหมาะสม “ลูกแค่อยากเห็นร้านรวงคู่แข่งของเราก็เท่านั้นเจ้าค่ะ”
“ซุกซนไม่เคยเปลี่ยนเชียวลูกคนนี้” ฉางซื่อ14 ทำหน้าอ่อนใจ ทว่ามือที่ลูบผมบุตรสาวกลับแผ่วเบาและอ่อนโยน
“อ๊ะ... นั่นใช่ร้านของสกุลฉางหรือไม่เจ้าคะ” จวงอวี้หลินประจบเอาใจจนมารดายอมอ่อนข้อให้แอบเปิดผ้าม่านชี้ไปทางร้านแพรพรรณขนาดใหญ่โตโอ่โถงเบื้องหน้า
“ใช่แล้ว ร้านอี้ชางคือร้านสาขาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง”
“แล้วโรงเตี๊ยมฟู่จิงล่ะเจ้าคะ”
“โรงเตี๊ยมฟู่จิงอยู่ห่างออกไปอีกสองช่วงถนน ปิดผ้าม่านลงได้แล้ว หากผู้อื่นเห็นเข้าจะเสียไปถึงท่านพ่อของเจ้า” คุณหนูรองแห่งจวนราชครูจำต้องยอมละทิ้งภาพถนนที่มีร้านรวงเรียงรายไปด้วยความเสียดาย
“อ๊ะ...” ผ้าม่านที่กำลังจะถูกดึงลงสะบัดไหวด้วยแรงลม จวงอวี้หลินที่นั่งอยู่ติดหน้าต่างสัมผัสได้ถึงสายลมวูบหนึ่ง ครั้นกำลังจะชะโงกหน้าออกไปดูกลับถูกสายตาของมารดาตรึงไว้พร้อมกับเสียงดังเซ็งแซ่ด้านนอก
“เมื่อครู่ผู้ที่ควบม้าผ่านไปใช่ท่านรองแม่ทัพหลี่หยางกวงหรือไม่”
“ท่วงท่าองอาจห้าวหาญเช่นนั้นย่อมไม่ผิดแน่”
แม่ทัพ! โอกาสอันดีเช่นนี้ สตรีในห้องหอที่รักนวลสงวนตัวเช่นนางมิควรพลาด คิดแล้วก็รีบแง้มชายผ้าม่านขึ้นทันที
ภาพของบุรุษร่างสูงบนอาชาสีดำสนิทตรึงสายตาจนชะงักค้าง ท่วงท่าสง่าผ่าเผยสมคำเล่าลือ แม้ว่าม้าตัวใหญ่จะวิ่งนำไปไกล ทว่าความน่าเกรงขามและกลิ่นอายของบุรุษกล้าแกร่งยังคงอบอวลชวนให้ผู้คนตกตะลึง
แม่ทัพตัวเป็นๆ กับแม่ทัพในซีรีส์ที่เคยดูนั้นต่างกันจริงๆ ช่างให้ความรู้สึกเหมือนในฝันยามนั้นของนางไม่ผิดเพี้ยน สง่างาม เต็มไปด้วยความห้าวหาญของบุรุษชาตินักรบ
“เจ้าสนใจเขาหรือ” มารดาเอ่ยถามด้วยสีหน้าหนักใจ
นี่ใบหน้าของนางอ่านง่ายขนาดนี้?
อือ... หรือเผลอทำน้ำลายหก จวงอวี้หลินรีบยกมือขึ้นเช็ดมุมปากก่อนจะกระเถิบเข้าไปหามารดา เอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางผิดปกติ “ท่านแม่ไม่ชอบเขาหรือเจ้าคะ”
ผู้อาวุโสส่ายหน้า ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่ว “รองแม่ทัพหลี่เป็นบุรุษมีความสามารถ กล้าหาญองอาจ ทว่ากลับมีข่าวลือไม่ค่อยจะสู้ดีเกี่ยวกับตัวเขา”
“ข่าวลือว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ” บุตรสาวรีบเอ่ยถามนัยน์ตาพราวระยับ เรื่องลับๆ ของชาวบ้านนับเป็นหนึ่งในความใฝ่รู้ของนาง
จะใช่ท่านแม่ทัพรูปงามมากภรรยาหลายเมียหรือไม่
หรือเขาอาจจะเป็นพระโอรสลับของฮ่องเต้?
“สหายสนิทของรองแม่ทัพหลี่หยางกวงคือรองอัครเสนาบดีไป๋เพ่ยจวิน นับเป็นสองคนหนุ่มอนาคตไกล หนึ่งคือจองหงวนฝ่ายบุ๋น อีกหนึ่งคือจองหงวนฝ่ายบู๊ รองแม่ทัพหลี่นั้นห้าวหาญอย่างชายชาตินักรบ ขณะที่รองอัครเสนาบดีไป๋นุ่มนวลอ่อนโยน” บุตรสาวพยักหน้าคิดตาม ฝ่ายบุ๋นสนิทกับฝ่ายบู๊ไม่นับเป็นเรื่องแปลกอันใด
“แต่เมื่อไม่นานมานี้แม่เคยได้ยินข่าวว่าพวกเขา...” มารดาเอ่ยเพียงแค่นั้นก็เงียบไป คล้ายกับเรื่องที่จะเอ่ยกระดากปากนัก จนใจไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นถ้อยคำได้ แต่ถ้าไม่เอ่ยเรื่องนี้ก็เกรงว่าบุตรสาวจะถลำลึกไป ในที่สุดต้องจำใจ ยกแขนเสื้อขึ้นมาแล้วทำท่า ‘ตัด’
“คู่ชิป!” อ๊าก! หล่อ ล่ำ ก้ามปู สุดท้ายกลับกลายเป็นบุรุษผู้นิยมตัดแขนเสื้อ15
“ชี...ชี้ เจ้าว่าอะไรนะ แม่ฟังไม่ถนัด” มารดาทำหน้าคล้ายไม่เข้าใจ
“ลูก... ฮือ...” พูดทั้งน้ำตาอาบแก้ม เซซังล้มไปบนตักมารดาอย่างอ่อนแรง “หมายถึงพวกเขา... ฮือ... พวกเขาชอบพอกันอยู่หรือเจ้าคะ”
ฉางซื่อทำเสียงในลำคอ เสเบือนหน้าออกไปทางหน้าต่างแล้วรับคำเสียงเบา “แม่ได้ยินมาเช่นนั้น ทว่าเมื่อก่อนพวกเขาก็เสเพลไม่น้อย เข้าออกหอคณิกาเป็นประจำ ข่าวลือเหลวไหลเหล่านั้นก็เพิ่งมีมาระยะหลังนี้เอง”
จู่ๆ นางก็เผลอนึกไปถึงแผ่นหลังมั่นคงของบุรุษผิวขาวละเอียดที่นั่งอยู่ในห้องหนังสือของบิดา ท่วงท่าของอีกฝ่ายสุขุมนุ่มลึกสมกับตำแหน่งรองเสนาบดี
แล้วแบบนี้จะไม่ให้เผลอจับคู่ตามนิสัยสาววายได้ยังไง
ไม่ได้! ข่มใจเอาไว้
แต่ตำแหน่งบุ๋นบู้ต้องคู่กันเป็นธรรมดา
ไม่ได้! หากพวกเขาคู่กันแล้วนางจะคู่กับใคร
ฮือ สวรรค์รังแกกันเกินไปแล้ว
