#2
ต้าเหม่ยจวงถูกพามาพำนักยังตำหนักเถาเตี้ยนรวมกับเป่าไฉเหริน มีตำแหน่งไฉเหรินพระสนมขั้นห้าชั้นเอก ซึ่งเป็นตำแหน่งเริ่มต้นของสตรีผู้ได้รับคัดเลือกเป็นพระสนม กลายเป็นต้าไฉเหริน
ตำหนักเถาเตี้ยนแห่งนี้ เป็นตำหนักเล็กรอบนอก ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของอุทยานฝ่ายใน ห่างจากตำหนักที่ประทับของฮ่องเต้และฮองเฮาค่อนข้างไกลพอควร
ด้วยความที่วังหลังมีสนมชายามากมาย สนมตำแหน่งเล็กจึงจำต้องพำนักอยู่รวมในตำหนักเดียวกัน เรื่องนี้ไม่มีผลกับต้าเหม่ยจวง ทว่ากลับมีผลกับเป่าไฉเหรินอิงจี่เป็นอย่างยิ่ง
ก้าวแรกที่ต้าเหม่ยจวงเหยียบย่างเข้ามาในตำหนักเถาเตี้ยน ก็ถูกเป่าไฉเหรินเอ่ยวาจากดข่ม หญิงงามในชุดสีตองอ่อนกล่าวขึ้นโดยมิลุกจากที่นั่งว่า “ถึงจะมีตำแหน่งเท่ากัน แต่จะอย่างไร ข้าก็อยู่ที่นี่มาก่อน หวังว่าเจ้าจะรู้กาลเทศะ”
เหม่ยจวงชะงักฝีเท้า ปรายตามองไปยังเป่าไฉเหรินอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก ก่อนจะให้ฉีซุนอี้ประคองไปยังห้องพักทางปีกซ้าย ขันทีที่มาส่งนางเข้าตำหนัก ทำหน้าที่เสร็จก็กลับไปทันที ไม่แม้แต่จะเหลือบมองเป่าไฉเหรินด้วยซ้ำ
เมื่อถูกเมิน เป่าไฉเหรินก็เก็บท่าทางสง่างามเอาไว้ไม่อยู่ ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ ตวาดเสียงดัง “ข้าพูดกับเจ้า มิได้ยินหรือ!”
เหม่ยจวงหยุดฝีเท้าอีกครั้ง หันกลับมามองเป่าไฉเหรินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาไม่บ่งบอกอารมณ์ ก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ “เป่าอิงจี่ สกุลเป่า เมื่อสามเดือนก่อน บิดาเจ้าพึ่งต้องโทษพัวพันคดีฉ้อราษฎร์บังหลวง แทนที่เจ้าจะสงบเสงี่ยมเจียมตัว กลับยังอวดเบ่งวางท่าเย่อหยิ่ง ข้าขอเตือนเอาไว้ ว่าให้เจ้าอยู่อย่างสงบจะดีกว่า เพราะหากบิดาของเจ้าถูกตัดสินโทษเมื่อใด เจ้าเองคงหนีมิพ้นเช่นกัน”
เอ่ยจบ เหม่ยจวงก็ไม่รอดูสีหน้าของเป่าไฉเหริน พาฉีซุนอี้และเวินเหยาหยาเดินตรงไปทางห้องนอนของตัวเองทันที
วาจาของต้าเหม่ยจวง ทำให้เป่าอิงจี่เอ่ยวาจาไม่ออก ทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง อันที่จริง ที่นางทำไปเมื่อครู่ เพราะได้รับคำสั่งมา นางหาใช่จะไม่รู้ถึงอนาคตในวันข้างหน้าของตัวเอง เพราะรู้ ถึงต้องทำ
นางกำนัลที่เหลือเพียงคนเดียว นามว่า ว่านฉง มองเป่าอิงจี่ด้วยสายตาเหยียดหยาม กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “งานง่ายๆ แค่นี้ เป่าไฉเหรินยังทำมิได้ แล้วจะให้คนผู้นั้นช่วยเหลือได้อย่างไรเพคะ”
เป่าอิ่งจี่หันขวับไปมองด้วยความเดือดดาล ตอบโต้กลับไปว่า “เจ้าเก่งนัก เหตุใดเมื่อครู่จึงไม่เอ่ยปาก ต้าเหม่ยจวงเป็นถึงธิดาของเฉิงกั๋วกง เป็นหลานสาวของไทเฮา เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าจะกดข่มนางได้จริงหรือ ดีไม่ดี แม้แต่คนผู้นั้นของเจ้ายังทำมิได้เลยด้วยซ้ำ อีกอย่าง เจ้ามันแค่นางกำนัลจะพูดจะจาอันใดกับข้าควรระวังปากเอาไว้หน่อย เพราะตอนนี้ ข้ายังมีอำนาจพอที่จะลงโทษเจ้า!”
ว่านฉงได้ยินอย่างนั้นก็ชักสีหน้าใส่ ทว่ากลับมิกล้าโต้เถียง เป่าอิงจี่หันหน้ากลับมามองทางตำหนักปีกซ้าย ไม่สนใจว่านฉงอีก ในใจครุ่นคิดหาทางออกที่ดีที่สุดให้ตัวเอง
ในห้องนอน หลังจากที่รินชาให้ต้าเหม่ยจวง ฉีซุนอี้ก็เอ่ยอย่างมีอารมณ์ว่า “เป่าไฉเหรินผู้นี้ช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลย”
เหยาหยาที่กำลังจัดข้าวของ กล่าวขึ้นโดยไม่ละสายตาว่า “อย่าได้ไปถือสานางเลย ที่นางทำไป เพราะมีคนบงการอยู่เบื้องหลัง คนผู้นั้นคงจะเอาเรื่องของบิดานางมาข่มขู่”
ต้าเหม่ยจวงวางถ้วยชาลง หันไปทางฉีซุนอี้ กล่าวว่า “อาอี้ ที่อาหยาพูดมานั้นมิผิด เจ้าควรเรียนรู้ให้มาก อย่าได้มองสิ่งใดเพียงผิวเผิน ที่นี่มีแต่คนรู้หน้ามิรู้ใจ วันข้างหน้าพวกเรายังต้องเจอเล่ห์กลอีกมาก ต้องระวังมิให้ตนเองตกไปในหลุมพราง อย่างเรื่องเมื่อครู่ก็เช่นกัน หากว่าข้าทะเลาะเบาะแว้งกับเป่าไฉเหรินตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในตำหนัก เจ้าลองคิดดูว่าจะเกิดอันใดขึ้น”
ฉีซุนอี้คิดทบทวนตามคำพูดของเหม่ยจวง ครู่หนึ่งก็มีสีหน้าตกใจ อุทานออกมาว่า “โอ้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ซุนอี้รีบนั่งคุกเข่าข้างเก้าอี้ รู้สึกผิดอย่างยิ่งยวด เพราะเมื่อครู่ นางเกือบตอบโต้เป่าไฉเหรินไปแล้ว ยังดีที่มิได้กระทำ มิเช่นนั้นคงได้สร้างความเดือดร้อนให้ต้าเหม่ยจวงโดยมิรู้ตัว ซุนอี้เอ่ยอย่างร้อนรนว่า “เป็นหม่อมฉันคิดอ่านไม่รอบคอบ ขอต้าไฉเหรินโปรดอภัย ต่อไปหม่อมฉันจะคิดอ่านให้รอบคอบกว่านี้เพคะ”
เหม่ยจวงแย้มยิ้ม กล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิดอาอี้ เจ้ายังมิได้ทำผิดอันใดเลย มิจำเป็นต้องขอโทษ”
ฉีซุนอี้ลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม กล่าวขอบคุณเหม่ยจวงไปประโยคหนึ่ง เหยาหยาพลอยยิ้มตามคนทั้งสองไปด้วย ซุนอี้ยอบกายให้เหม่ยจวง จากนั้นก็เข้ามาช่วยเหยาหยาจัดข้าวของ ผ่านไปครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงเหม่ยจวงเอ่ยขึ้นว่า “อาหยา ตอนนี้เจ้าเข้ามาอยู่ใต้ปีกของข้าแล้ว คงมิจำเป็นต้องปิดบังความงดงามแล้วกระมัง”
เวินเหยาหยาชะงักไปอึดใจ ตอบด้วยรอยยิ้มกลับไปว่า “เป็นเช่นนั้นเพคะ เพียงแต่หม่อมฉันทาสีผึ้งผสมเจียงหวงมานานหลายปี คงต้องใช้เวลาหลายวันกว่าที่ผิวพรรณจะกลับมามีสภาพดังเดิม”
ฉีซุนอี้ได้ฟังก็แปลกใจ เดินเข้ามาจับไหล่สองข้างของเหยาหยาให้หันหน้ามาทางตนเอง ก่อนจะมองสำรวจไปทั่วทั้งร่าง
เวินเหยาหยาเพียงแค่ยิ้ม มิได้เอ่ยวาจาห้ามปราม ปล่อยให้อีกฝ่ายมองสำรวจจนพอใจ
ซุนอี้หน้านิ่วคิ้วขมวดยกมือลูบไปตามข้างแก้มของเหยาหยา ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ที่แท้เจ้าก็หลอกลวงผู้คน อาหยาเจ้าช่างร้ายกาจนัก”
เหยาหยากับเหม่ยจวงได้ยินก็หลุดหัวเราะออกมา เหม่ยจวงกล่าวกับซุนอี้ว่า “พวกเราถือเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว อาอี้ ความลับนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เอ่ยออกไป”
ซุนอี้รีบส่ายหน้ารัวๆ กล่าวว่า “หม่อมฉันย่อมไม่ทำเช่นนั้นแน่นอนเพคะ”
เหยาหยาไม่คิดออกความเห็นกับเรื่องนี้ ประหนึ่งว่ามิใช่เรื่องของนาง เพราะต่อให้มีคนรู้ ก็มิใช่เรื่องใหญ่โต สีผึ้งผสมเจียงหวงมีไว้สำหรับบำรุงผิว นางก็แค่อ้างว่าทาบ่อยเกินไปก็เท่านั้น
อันที่จริง ผิวพรรณที่แท้จริงของเวินเหยาหยาขาวผุดผ่องดังหยก องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา เรือนร่างบอบบางราวกับกิ่งหลิว ทว่าถูกกลบเกลื่อนด้วยสีผึ้งผสมเจียงหวงจึงทำให้แลดูเหลืองซีด หมองคล้ำ ลดทอนความงามไปกว่าครึ่ง เหยาหยามิได้โป้ปดเรื่องที่นางทาสีผึ้งผสมเจียงหวงมาหลายปี เพราะครอบครัวของนางไร้อำนาจ การไม่เปิดเผยความงาม ย่อมช่วยให้ชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข มิเช่นนั้นคงมิอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้
กว่าจะจัดข้าวของเสร็จก็เกือบพ้นยามห้าย นางกำนัลทุกตำหนักจะต้องไปรับมื้อเที่ยงด้วยตนเองที่ห้องเครื่องฝ่ายใน ฉีซุนอี้รีบเสนอตัวทำหน้าที่นี้ด้วยความเต็มใจ