#1
หลังจากที่การคัดเลือกรอบนี้ใกล้จะสิ้นสุด ในเรือนแต่ละหลังเหลือหญิงสาวเพียงไม่กี่คน สำหรับเรือนที่เวินเหยาหยาอยู่เหลือเพียงห้านางเท่านั้น ทุกคนจึงรู้สึกสนิทสนมเป็นกันเองมากขึ้น
ยามโพล้เพล้ สตรีทั้งห้าพากันออกมานั่งเล่นตรงเฉลียงเฉกเช่นหญิงสาวในเรือนอื่น บนโต๊ะม้าหิน หลังจากที่รินชาส่งให้ทุกคน ฉีซุนอี้ ธิดาเจ้าเมืองถูหลัวจิบชาไปอึกใหญ่ จากนั้นก็มองไปทางทิศอุดร กล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าในบรรดาเรื่องเล่าของฝ่ายใน ที่ขาดมิได้คือเรื่องเล่าของหญิงงามบนสะพานกลางน้ำ”
ทั้งสี่พากันหันมามองฉีซุนอี้เป็นตาเดียว อันที่จริงเรื่องนี้เวินเหยาหยาเคยได้ยินได้ฟังมาก่อนแล้ว เพียงแต่มิอยากหักหน้าผู้อื่น นางจึงทำทีเป็นสนใจใคร่รู้ไม่ต่างจากเหม่ยจวงและอีกสองคนที่เหลือ
ฉีซุนอี้เห็นสีหน้าท่าทางอยากรู้อยากเห็นของแต่ละคน ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มทรงภูมิประหนึ่งบัณฑิตคงแก่เรียนออกมา กล่าวอย่างภูมิอกภูมิใจว่า “ข้าคิดแล้ว ว่าพวกเจ้าคงมิรู้ เอาเป็นว่าข้าจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน” จากนั้น ซุนอี้ก็เริ่มเล่าย้อนไปในอดีต
ว่ากันว่า ในปีแรกที่ถังเจ๋อจงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ การคัดเลือกสนมนางในเป็นไปอย่างดุเดือดยิ่งกว่าสนามรบชายแดน ด้วยความที่ขุนนางหลายฝักฝ่ายต้องการให้ธิดาหรือลูกหลานของตนเองเข้ามาอยู่ในวังหลัง จึงมีการติดสินบนข้ารับใช้ฝ่ายในกันอย่างมือเติบ ทั้งยังใช้เล่ห์กลสารพัดวิธีทำให้คนของตนได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูง เพื่อเสริมอำนาจทางการเมือง
ทว่าเรื่องราว กลับมิได้ง่ายดายอย่างที่คิด เพราะฮ่องเต้ถังเจ๋อจงมีสัญญารักแน่นหนากับเอี้ยนฮองเฮา หญิงงามเหล่านั้นแม้จะเข้ามาอยู่ในวังหลังได้ก็จริง แต่มิเคยได้รับความโปรดปราน แผนการใช้เล่ห์มารยาจึงเกิดขึ้น
ถังเจ๋อจงฮ่องเต้มีความชอบอยู่อย่างหนึ่ง คือการไปเยือนสะพานกลางน้ำทุกค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวง เรื่องนี้ย่อมมิได้เป็นความลับแต่อย่างใด ในคืนหนึ่ง ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมาถึง ได้มีหญิงงามสวมชุดผ้าแพรเนื้อบางสีขาวบริสุทธิ์ไปยืนร่ายรำอยู่กลางสะพาน
หญิงสาวนางนั้นร่ายรำอยู่ทั้งคืนกระทั่งอ่อนแรงเหนื่อยล้า ทว่าฮ่องเต้ยังไม่มีวี่แววจะเสด็จมา สุดท้ายในยามใกล้รุ่ง หญิงงามประดุจเทพธิดาก็หมดสติร่วงจากสะพานจมหายลงไปใต้น้ำ หลังจากนั้น ไม่มีใครได้เห็นนางอีก แม้แต่ศพก็หาไม่พบ
ฉีซุนอี้เล่าจบก็ยกชาจิบไปอึกใหญ่ ก่อนจะทำท่าขนลุก กล่าวเสียงเบาว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฮ่องเต้มิเคยเสด็จไปเยือนสะพานกลางน้ำอีกเลย แต่กลับมีคนเห็นหญิงสาวร่ายรำอยู่กลางสะพานแทน พวกเจ้าคิดอย่างไร”
ฟังจบทุกคนก็พากันหันไปมองยังทิศอุดรพร้อมกัน เหม่ยจวงกับเหยาหยามิได้มีทีท่าหวาดกลัวเหมือนคนอื่น ทั้งสองดึงสายตากลับมามองฉีซุนอี้ เหม่ยจวงกล่าวขึ้นว่า “ข้ามิเชื่อเรื่องภูติผี”
เหยาหยาพยักหน้าเงียบๆ ยังคงไม่คิดจะออกความเห็น สองสาวที่เหลือขยับมานั่งชิดกัน หนึ่งในนั้นกล่าวว่า “ข้าเองก็เคยได้ยินมา ฟังว่า ในคืนพระจันทร์เต็มดวง นางกำนัลขันทีมักจะได้ยินเสียงร่ำไห้ดังมาจากสะพาน ทุกวันนี้ก็ยังได้ยินอยู่”
เหม่ยจวงส่ายหน้า กล่าวว่า “บางทีอาจมีคนจงใจสร้างเรื่องให้ผู้คนหวาดกลัว เพื่อจุดประสงค์บางอย่างก็เป็นได้”
เหยาหยาที่เงียบมานานกล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้ มิได้มีความเกี่ยวข้องกับพวกเรา อย่าได้เอ่ยถึงเลยจะดีกว่า หากรู้ถึงหูซั่งกงเข้า คงมิใช่เรื่องดี”
ได้ยินอย่างนั้นทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย บทสนทนาเลยหยุดลงเพียงเท่านี้ เห็นว่าใกล้จะค่ำแล้วจึงชักชวนกันกลับเข้าเรือน
สองวันต่อมา การคัดเลือกรอบสุดท้ายเป็นอันเสร็จสิ้น หญิงสาวห้าสิบนางจะถูกแต้มจุดแดงที่แขนเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนความบริสุทธิ์ และถูกส่งเข้าไปยังกองงานเพื่อทำการฝึกฝน มาถึงตอนนี้ ทุกคนต้องฝึกฝนอย่างเท่าเทียม ตั้งแต่กิริยามารยาท การวางตัว ไปจนถึงร่ายรำ ดนตรี เย็บปัก ชุดที่สวมใส่ก็เหมือนกัน เป็นชุดกระโปรงเกาะอกทรงดอกท้อสีอ่อน คลุมทับด้วยเสื้อคลุมผ้าแพรสีเดียวกัน สลับไปตามวัน มวยผมเป็นทรงลูกท้อคู่
จะว่าไป ชีวิตใครจะรุ่งโรจน์หรือร่วงโรยล้วนตัดสินจากที่นี่ เพราะหลังจากฝึกฝน หาใช่ทุกคนที่จะถูกเลือกไปเป็นนางสนม หญิงสาวที่ไม่ถูกเลือกจะถูกส่งไปเป็นนางกำนัลฝ่ายในหรือถูกส่งไปทำงานในกองงานต่างๆ ซึ่งมีทั้งหมดหกกองงาน คือ กองพระราชสำนัก กองพระราชพิธี กองพระภูษา กองห้องเครื่อง กองพระตำหนัก และกองศิลป์
หลังจากที่เข้ามาอยู่ในกองงาน เวินเหยาหยากับต้าเหม่ยจวงยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น เหม่ยจวงถึงขั้นเอ่ยปากชักชวนให้เหยาหยาเป็นสหายร่วมสาบาน ทว่าเวินเหยาหยากลับปฏิเสธ โดยใช้เหตุผลเรื่องฐานะในวันข้างหน้ามาเป็นข้ออ้าง พอเหม่ยจวงได้ฟังก็เข้าใจจึงมิเอ่ยถึงอีก
อีกอย่าง ตามการคาดเดาของเหยาหยา ไม่เกินสิบวันนี้ เหม่ยจวงจะต้องถูกเลือกเข้าไปเป็นสนมอย่างแน่นอน
การฝึกฝนในแต่ละวัน หญิงสาวห้าสิบนางพยายามแสดงความสามารถของตนให้โดดเด่น เพื่อจะได้เป็นที่จับตามอง ไม่ว่าจะเป็นการเย็บปัก ขับร้อง ร่ายรำ บรรเลงดนตรี แม้แต่เขียนพู่กันอักษร แต่งกลอนเดินหมาก ทุกคนล้วนแสดงฝีมือกันอย่างเต็มที่
ด้วยความที่ประเพณีเปิดกว้างบวกกับคำสอนของลัทธิเต๋าเรื่องหยินหยางเท่าเทียม สตรีต้าถังจึงมิถูกริบรอนสิทธิ์ในการเรียนรู้และแสดงความสามารถ
มีเพียงเวินเหยาหยาและต้าเหม่ยจวงที่คิดแตกต่าง ทั้งสองล้วนทำเพียงแค่ให้ผ่านไป มิได้เผยความสามารถที่แท้จริงออกมา
สิบวันหลังจากนั้น ขันทีจากฝ่ายในก็ถือม้วนแต่งตั้งเข้ามา หญิงสาวทั้งห้าสิบนางที่ตั้งแถวรออยู่ล้วนพากันใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทุกคนต่างหวังว่าชื่อที่ขานออกจากปากขันทีผู้นี้จะเป็นชื่อของตนเอง ทว่าหลังจากนั้นก็ต้องผิดหวังไปตามๆ กัน
เพราะขันทีประกาศนามของหญิงสาวเพียงนางเดียว นั่นคือต้าเหม่ยจวงธิดาของเฉิงกั๋วกง เมื่อชื่อของนางถูกประกาศออกมา เหม่ยจวงมิได้มีท่าทีดีอกดีใจ เพราะนางรู้ล่วงหน้าตั้งแต่ยังมิได้เข้าวัง การได้เข้าไปอยู่ฝ่ายใน เหม่ยจวงสามารถเลือกหญิงสาวในกองงานสองคนติดตามเข้าไปเป็นนางกำนัลส่วนตัวได้ ต้าเหม่ยจวงจึงเลือกเวินเหยาหยาและฉีซุนอี้ที่สนิทที่สุดเข้าไปเป็นข้ารับใช้
ในตอนที่ทั้งสามกำลังเก็บข้าวของ ต้าเหม่ยจวงหันมาเอ่ยกับทั้งสองว่า “ที่ข้าเลือกพวกเจ้า มิใช่ว่าดูถูกเหยียดหยามคิดกดข่มสหาย แต่ข้าเพียงอยากได้คนรู้ใจไปอยู่ข้างกายบ้างก็เท่านั้น หวังว่าเจ้าทั้งสองจะมิคิดโกรธเคือง”
ฉีซุนอี้ละมือจากข้าวของ คลานเข้ามานั่งลงบนฟูกเดียวกับเหม่ยจวง ก่อนจะดึงมือนางมากุม กล่าวน้ำเสียงจริงจังว่า “อาจวงเจ้าอย่าได้เอ่ยหนักเช่นนั้น รูปร่างหน้าตาอย่างข้า ต่อให้อีกสิบปี ก็ไม่มีทางที่จะถูกเลือก เต็มที่ก็อาจได้ตำแหน่งดีในกองงานสักแห่ง การที่เจ้าเลือกข้าไปเป็นนางกำนัลส่วนตัว ถือเป็นบุญคุณยิ่ง ข้าสัญญาว่าข้าจะซื่อสัตย์จงรักภักดีกับเจ้า ไม่คิดคดทรยศเป็นอันขาด”
เหม่ยจวงพลิกฝ่ามือขึ้นตบลงบนหลังมือฉีซุนอี้เบาๆ กล่าวขอบคุณนางประโยคหนึ่ง เหยาหยามองทั้งสองด้วยรอยยิ้ม มิคิดเอ่ยวาจา