บทที่ 6...จอมขวัญเจ้าบัลลังก์ทราย...
...เดินทางสู่อัชมา...
การอำลาเสร็จสิ้นแล้ว ดาริยาห์ต้องเร่งฝีเท้าเดินตามเจ้าบ่าวออกไปยังรถเมอร์เซเดสเบนซ์ที่จอดรออยู่ โดยมีพี่เลี้ยงมาเรียหรือมารีอาเดินตามมาติดๆ ก่อนจะขึ้นรถนางได้ส่งเสื้อโค้ดสีน้ำเงินสดใสให้เจ้าบ่าวช่วยสวมทับชุดเจ้าสาวของเธอ แล้วต่างก็นั่งเงียบคู่กันไปไม่ปริปากพูดอะไร จนมาถึงสนามบินเล็กของทหารที่จัดไว้สำหรับเครื่องบินส่วนตัวของบุคคลสำคัญที่เจ้าของประเทศอนุญาต
“จามิลกับคัมรานพามาเรียไปก่อน เดี๋ยวฉันจะอุ้มเชคก้าไปเอง” เสียงสั่งทุ้มดังของเจ้าบ่าวหมาดๆเข้ากระทบโสตประสาทเจ้าสาวที่นั่งอยู่ข้างๆได้ยินถนัด เธอขยับหนีพร้อมกล่าวปฏิเสธทันที
“ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันเดินไปเองก็ได้” มองจับจ้องอยู่ที่สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ แต่ประกายตาคมเฉี่ยวของเขากลับทำให้เธอใจสั่น
“ไม่เป็นไรพี่อุ้มไปจะเร็วกว่า”
เจ้าบ่าวทำให้ได้เห็นว่าเร็วกว่าอย่างที่พูดจริงๆ เพราะตัวเจ้าสาวถูกคว้าอุ้มพลิ้วออกมาราวกับไม่มีน้ำหนัก พาเดินเร็วมาส่งขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไฮเทครุ่นล่าสุดที่นักบินติดเครื่องรออยู่ และเจ้าบ่าวอีกนั่นละที่ตามเข้ามาช่วยรัดเข็มขัดนิรภัยให้อย่างเรียบร้อย
“ เคยนั่งเครื่องแบบนี้หรือเปล่า ”
ฮาริซเอ่ยถามคนนั่งเงียบเฉยไม่พูดไม่จา แม้จะไม่เห็นใบหน้าหรือแววตาหลังผ้าคลุมลูกไม้เนื้อบางอย่างชัดเจนก็พอจะเดาได้ว่าเธอกำลังอยู่ในอารมณ์ไม่พอใจที่ถูกเขาขัดใจ
“ ถ้าไม่เคยนั่งระวังจะเวียนหัวนะ...เอายาดมไหม... ”
แม้เฮลิคอปเตอร์ไฮเทครุ่นนี้จะมีสมรรถนะดีเลิศยังไง หากคนไม่คุ้นชินความสูงหรือไม่ค่อยได้ขึ้นที่สูงก็อาจจะมีอาการวิงเวียนสวิงสวายหรือเป็นลมไปได้
“...?...?...?...”
ผู้ถูกถามยังนั่งนิ่งไม่ยอมตอบหรือหันไปมองผู้ถาม อยากจะถามอะไรก็ถามไป ทีตัวเขายังไม่ใส่ใจคำร้องของเธอ เหอะ! จะไม่พูดด้วยตลอดทางเลยเชียว
“ฝ่าบาทเพคะ ขอประทานอภัยเถอะเพคะ...ขะ...ขอยาดมหม่อมฉันเถอะ”
เสียงระโหยของมาเรียดังมาจากข้างหลัง ทั้งเจ้าบ่าวที่นั่งเลิกคิ้วมองเหมือนรอคำตอบและเจ้าสาวที่ยังนั่งคอแข็งทำไม่รู้ไม่ชี้ต้องหันไปมองพร้อมกัน
“มาเรีย เป็นอะไรไปจ๊ะ” เจ้าของเสียงหวานที่ตั้งใจเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่พูดร้องถามด้วยความห่วงใย
“หม่อมฉันเวียนหัวเพคะ...เฮออออ...” สีหน้าซีดขาวของมาเรียยืนยันอาการที่เป็นอยู่
“หน้าซี้ดซีดจะเป็นลมหรือจ๊ะ”
ดาริยาห์เป็นห่วงพี่เลี้ยงจนลืมตัว ตลบผ้าคลุมหน้าเกะกะสายตาออกขณะร้องถาม พลางขยับจะลุกจากเบาะไปหาคนที่นั่งหลับตาสีหน้าซีดเซียว แต่ติดแถบนิรภัยที่คาดอยู่ อาการรีบรนทำให้ไม่ทันคิดถึงปุ่มปลดล็อกอัตโนมัติในตัวจึงดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออก
“นั่นจะทำอะไร จะลุกไปไหน” ฮารีซลืมคนร้องขอยาดมทันทีที่เห็นเจ้าสาวกำลังดึงพันธนาการสายนิรภัยออกจากตัว
“จะไปดูมาเรียหน่อยเพคะ ช่วยปลดแถบนี่ทีสิ หม่อมฉันดึงมันไม่ออก” มือบอบบางของดาริยาห์คลำหาที่ปลดล็อกพัลวัน
“ไม่ได้นะ จะลุกไปทำไมเครื่องกำลังบินอยู่” ฮารีซร้องห้ามและถามไปด้วยกัน เพราะนึกไม่ถึงว่าเธอจะร้องขอให้เขาปลดแถบนิรภัยออกให้
“ไม่เป็นไรนี่เพคะ แค่ลุกไปนั่งเบาะหลังกับมาเรียเท่านั้น... เร็วสิเพคะ...” ดาริยาห์ร้องเร่งด้วยความร้อนใจ ดวงตาจดจ้องไปที่พี่เลี้ยงที่นั่งหน้าซีดเซียว
“แต่นี่...ไม่เหมาะสม” คนถูกร้องขอร้องปราม แถมยังไม่ยอมขยับ
“คุณ...เอ้อ...จามิล คุณช่วยปลดแถบนี่ให้ทีสิคะ” หันไปร้องขอกับคนนั่งมองตาปริบที่เธอจำชื่อเขาได้ แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นคนไหน
“ไม่ได้นะ”
“ไม่ได้พระเจ้าข้า”
เสียงร้องประสานของชายหนุ่มทั้งสามคนทำให้หญิงสาวมองตะลึง เธอมองสองหนุ่มที่กำลังอยู่ในอาการปากอ้าตาค้าง แล้วก็หันกลับมามองคนนั่งข้างที่อยู่ในอาการอย่างเดียวกัน
“ไม่ได้หรือเพคะ...ทำไม...เป็นอะไรเพคะ” เธอหันมองเจ้าบ่าวหมาดๆตาเขียวปั้ด
“...เอ้อ...” ผู้ถูกมองอ้ำอึ้ง
“เรามีคนที่กำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่นะ พี่เลี้ยงของหม่อมฉันกำลังไม่สบาย ถ้าไม่มีใครช่วยปลดเจ้าแถบคาดนี่ หม่อมฉันจะตัดมันออกเอง” สายตาชายหนุ่มทั้งสามมองตามเจ้าสาวแสนสวยที่ก้มตัวลงเปิดชายกระโปรงด้วยอาการตื่นตะลึง
“จะทำอะไรน่ะ” ฮาริซถามเสียงดุด้วยความนึกไม่ถึง แล้วโน้มตัวยื่นแขนเอื้อมไปคว้าข้อมือไว้เสียก่อน
“ก็จะหยิบมีดสิเพคะ”
ดาริยาห์แกล้งตอบเสียงหวาน มองสบตาดุอย่างท้าทาย นี่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน พี่เลี้ยงของเธอกำลังไม่สบาย พวกเขายังทำเฉยกันอยู่ได้ คงต้องใช้เครื่องกระตุ้นกันสักหน่อย
“มีดที่ไหน”
ฮาริซมองตามสายตาเจ้าสาวหมาดๆลงไปก็พอจะเดาออกว่ามีดของเธออยู่ที่ไหน เขาเพิ่งสังเกตเห็นเจ้าสาวของเขาใส่รองเท้าผิดแปลกจากเจ้าสาวทั่วไป แทนที่จะเป็นรองเท้าคัทชูสวยหรู กลับเป็นรองเท้าบู้ตปลายแหลมสีขาวอมฟ้ากลมกลืนกับชุดที่สวมใส่ นี่คงจะเตรียมพกมีดเล่มเล็กๆเอาไว้ในซองเก็บด้านในรองเท้าด้วยสินะ
“ไม่...ไม่ต้อง พี่จะปลดแถบนี่ให้เอง”
หญิงสาวได้ยินเสียงถอนหายใจจากสองหนุ่มตัวโตที่นั่งในเก้าอี้ทางด้านหน้าได้ถนัด หันไปส่งยิ้มหวานให้กับเขา แล้วก็ได้เห็นอาการตื่นตะลึงปากอ้าตาค้างของพวกเขาสองคนอีกครั้ง โดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มน่ารักบนใบหน้าสวยหวารบาดใจนั้นทำให้พวกเขาประทับใจจนแทบลืมหายใจ เมื่อแถบคาดถูกปลดออกไป เธอรีบลุกเดินเข้าไปหาคนเป็นลม แล้วบีบนวดไปตามแขนขา พร้อมกับร้องขอยาดม
“ยาดมอยู่ไหนคะ”
“...อ้อ...เอ้อนี่...”
“นี่พระเจ้าข้า”
เสียงตอบรับกับการยื่นยาดมมาส่งมาให้คนละอันด้วยสีหน้างงงันเป็นกิริยาน่าขบขันที่ดาริยาห์หรือเดหลีต้องยิ้มกว้าง พลางคิดว่าผู้ชายอาหรับตัวโตแข็งแรงราวกับภูเขาต้องพกยาดมขึ้นเครื่องบินกันด้วยหรือ
“ขอบพระทัยเพคะ ขออันเดียวก็พอแล้ว ถ้ามียาแก้เมาเครื่องก็ขอด้วยเพคะ”
ดาริยาห์หยิบยาดมจากผู้ที่อยู่ใกล้ พร้อมกับส่งยิ้มหวานเป็นรางวัล โดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของตนนั้น ทำให้เจ้าบ่าวหมาดๆหัวใจเต้นระทึกด้วยความปลาบปลื้ม
“เก็บยาดมของพวกนายได้แล้วจามิล คัมราน”
ฮาริซบอกแก่ผู้ติดตามสองคนด้วยแววตาดุขวางอย่างเอาเรื่อง ด้วยความขัดใจที่นายทหารองครักษ์ทั้งสองมาเอาอกเอาใจชายาของเขา พลางคิดว่าแค่พวกเขานั่งทำปากอ้าตาค้างทุกครั้งที่เธอขยับปากยิ้มก็เหลือทนกันแล้ว
“มาเรีย เป็นยังไงบ้างจ๊ะ เวียนหัวมากสินะ ดูสิหน้าซี้ดซีด สูดหายใจเบาๆลึกๆสักสองสามครั้งก่อนนะ นั่นละ นี่จ้ะยาดมสูดเข้าเบาๆนะ กลิ่นแรงอยู่เหมือนกัน”
“ยาแก้เมา” ฮารีซรับยากับขวดน้ำที่ใส่หลอดมาพร้อมจากคัมรานส่งให้คนรับหน้าที่พยาบาลจำเป็น
“ขอบพระทัยเพคะ” ดาริยาห์รับยากับขวดน้ำมาจากมือคนส่งที่ความรู้สึกรับรู้ว่าเขาคงยังมองอยู่ไม่วางตา
“กินยานี่สักหน่อยนะ...จะได้ดีขึ้น...”
เจ้าชาย ฮาริซ บิน คอลิฟะห์ มาห์วาน อัล-อัชมา เฝ้าจับจ้องกิริยาอาทรห่วงใยของผู้ที่ได้อภิเษกเป็นชายาหรือเจ้าสาวหมาดๆ ป้อนยาป้อนน้ำให้กับพี่เลี้ยงอย่างอ่อนโยน เป็นความเมตตากรุณาที่เขาพึงพอใจ ผู้หญิงมีน้ำใจโอบอ้อมอารีอย่างนี้ละ คือคนที่เขาต้องการมาเป็นชายา เพราะงานข้างหน้าเธอจะต้องใช้สิ่งเหล่านี้ช่วยเยียวยาจิตใจคนของเขาให้เข้าใจในความมีเมตตากรุณาต่อกัน