บท
ตั้งค่า

บทนำ

บทนำ

ช่วงเวลาสิบหกนาฬิกา ณ โรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งคลาคล่ำไปด้วยนักเรียนและผู้ปกครองที่มารับบุตรหลาน ใบหน้าหัวเราะยิ้มแย้มของเหล่าวัยรุ่นบ่งบอกว่าดีใจแค่ไหนที่ได้กลับบ้าน บางคนก็นัดเพื่อนเพื่อไปสังสรรค์กันช่วงเย็น บ้างก็นั่งคุยสัพเพเหระกับคนสนิทไม่ต้องการจะกลับบ้าน

เช่นเดียวกับหญิงสาวที่ใส่ชุดมัธยมปลายปีที่สาม หล่อนกำลังจะเรียนจบในไม่กี่เดือนข้างหน้าเตรียมพร้อมจะเข้ามหาวิทยาลัยเพราะสอบได้ทุนของสถานอุดมศึกษารัฐบาลแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงและโด่งดังพอสมควร

ใบหน้าหวานไม่ได้แต้มรอยยิ้มกลับมีท่าทีกังวลจนเพื่อนอีกสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะต้องเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ชายหนุ่มใบหน้าคมเข้มมีส่วนสูงมากกว่าเพื่อนผู้ชายรุ่นเดียวกันอาจเพราะมีบิดาเป็นชาวต่างชาติจึงโตเร็ว อีกทั้งท่าทีขึงขัง ดวงตาคมยามจ้องมองทำให้หากไม่ใส่ชุดนักเรียนก็อาจเข้าใจผิดว่าเรียนมหาวิทยาลัย

เขากำลังจะเอ่ยปากถามแต่ก็โดนเพื่อนผู้หญิงอีกคนซึ่งมีกิริยาอ่อนหวานนุ่มนิ่มจนรู้สึกขัดตาทุกครั้งเวลาเห็นอีกฝ่ายทำอะไรเชื่องช้า ผิวขาวราวหยวกกล้วยอย่างคุณหนูลูกผู้ดีไม่เคยต้องแสงแดด หยิบจับอะไรที่หนักก็ดูเหมือนจะล้มทำให้เพื่อนคนสนิทต้องออกโรงช่วยทุกครั้ง

“ข้าวเป็นอะไรหรือเปล่า เห็นถอนหายใจหลายรอบแล้ว” ถามขณะที่มือก็ตักไอศกรีมขึ้นมากินอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้สูงใหญ่ให้ร่มเงา มันกลายเป็นที่ประจำสำหรับพวกเธอไปเสียแล้วจนไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามานั่งเพราะกลัวจะโดนสายตาคมดุของรุ่นพี่ร่างสูงหุ่นหมี

ถึงจะหล่อคมเข้มเป็นหนุ่มในฝันของสาวหลายคนแต่ก็ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามาทำความรู้จักสักเท่าไหร่ เพราะอีกฝ่ายไม่ต้อนรับหญิงใดเข้ามาในห้องหัวใจเลย

สายตาของเขาเอาแต่มองไปที่ผู้หญิงคนเดียว

“กินเข้าไป ผอมจนจะปลิวลมอยู่แล้ว” บอกหล่อนพลางยื่นลูกชิ้นปิ้งและผักจำนวนมากไปตรงหน้าคนที่ตนเองมีใจให้

บุณณดา บวรกิตติ์ หรือใบข้าว สาวหน้าสวยหวานเป็นที่หมายปองของรุ่นน้องแต่ไม่มีใครได้เข้าใกล้หล่อนเลยเนื่องจากมีสุนัขตัวใหญ่เฝ้าไม่ห่าง นั่นคือ เปมทัต ป้องเกียรติหรือเปรม ผู้ซึ่งได้รับฉายาหมาเฝ้าดอกฟ้า เพราะไม่เพียงแค่ดูแลหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของหัวใจแต่ยังต้องดูแลเพื่อนสนิทอีกคน อรวรา บุญญานนท์หรือหนูอร คุณหนูแสนหวานที่ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ค่อยได้

พวกเขาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนประถมจนมาถึงชั้นมัธยมก็อยู่ห้องเดียวกันมาตลอดจะมีแยกจากกันก็ช่วงมัธยมต้นทว่าพอมัธยมปลายก็กลับมารวมตัวกัน และมีบางที่เปมทัตไปเล่นกับเพื่อนผู้ชายแต่ส่วนมากก็กลับมาหาเพื่อนสนิททั้งสองเหมือนเดิม

อาจเพราะหัวใจเขาอยู่ที่นี่ จะให้ไปไกลได้อย่างไร

“เปล่าหรอก แค่เบื่อๆ ไม่อยากกลับบ้าน” ดวงตากลมโตหม่นลงเมื่อคิดถึงบ้านที่ควรจะอบอุ่น แต่ความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้นและไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด

บิดาติดการพนันจนสร้างหนี้สินจำนวนมากต้องให้เจ้าหนี้มาทวงแทบทุกวัน ส่วนท่านก็หนีหัวซุกหัวซุนจะมาหาหล่อนบ้างในบางครั้ง ชีวิตพ่อลูกไม่ค่อยได้พบกันสักเท่าไหร่ บุณณดาอยู่กับน้าข้างบ้านที่ครองตัวโสดทำทีเป็นลูกสาวท่านไม่ให้พวกนั้นรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นใคร กลัวว่ามันจะเอาตัวเธอไปใช้หนี้แทนพ่อ

ส่วนมารดาก็เสียชีวิตด้วยโรคร้ายตั้งแต่หล่อนอายุได้เพียงห้าขวบ จำใบหน้าของท่านไม่ได้ด้วยซ้ำหากไม่ได้ตั้งรูปครอบครัวไว้บนหัวเตียง

แต่ก่อนหล่อนมีบ้านหลังใหญ่โตให้อาศัย คนรับใช้ล้อมหน้าล้อมหลังแต่เพราะพ่อโดนโกงจนสิ้นเนื้อประดาตัวทั้งยังต้องขึ้นโรงขึ้นศาลจ่ายเงินจ้างทนายจนบ้านที่เคยมั่งมีกลับกลายเป็นแทบไม่เหลือแม้แต่ข้าวจะประทังชีวิต

จำได้ว่าตอนนั้นอายุสิบสามปีเรียนชั้นมัธยมต้นอยู่ที่โรงเรียนเอกชนได้แค่สองสัปดาห์ก็ต้องย้ายมาโรงเรียนรัฐบาลใกล้บ้านแทน ตอนแรกก็ปรับตัวไม่ได้เพราะสังคมค่อนข้างต่างกันจนกระทั่งเริ่มชิน หลังจากนั้นไม่นานพ่อก็ไม่มีเงินจะส่งจนหล่อนต้องถีบตัวเองขยันมากขึ้นเพื่อให้ได้รับทุน

เพื่อนที่เคยสนิทก็ห่างหายจะมีเพียงสองคนที่คอยอยู่เคียงข้าง

เปมทัตและอรวรา..

สองคนคือเพื่อนแท้ของหล่อนที่จะไม่มีทางเปลี่ยนสถานะเป็นอย่างอื่น

“พวกนั้นไม่รู้ว่าข้าวเป็นใครไม่ใช่เหรอ อย่าคิดมากเลย” หล่อนหันไปมองอรวราที่ไม่เคยคิดมากกับเรื่องอะไรเพราะครอบครัวมีพื้นฐานดีอยู่แล้ว

หล่อนซึ้งใจวันที่เพื่อนทั้งสองบอกจะสอบเข้ามัธยมปลายที่โรงเรียนรัฐชื่อดังด้วยกัน จะได้อยู่พร้อมหน้ากลุ่มสามคนทั้งที่ความจริงแล้วสามารถเรียนต่อเอกชนที่โรงเรียนเดิมได้แท้ๆ

“เดี๋ยวไปส่ง จะได้แน่ใจว่ากลับบ้านปลอดภัย” ที่จริงช่วงนี้พวกมันก็ไม่ค่อยมาแถวบ้านหล่อนแล้วไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ก็ยังอาศัยบ้านน้าที่อยู่เยื้องกันเหมือนเดิมด้วยท่านเป็นห่วงเธอกลัวจะโดนคนพวกนั้นเข้ามาทำมิดีมิร้าย

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันกลับเอง ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ” สูดลมหายใจเข้าปอดพร้อมเผชิญหน้ากับชะตาชีวิตของตนเองแล้วลุกขึ้นกระชับกระเป๋าสะพาย

“ไปด้วย” เปมทัตรีบเก็บของพร้อมจะตามหญิงสาวไปทันทีแต่ก็โดนถามกลับ

“นายต้องไปฝึกงานที่โรงแรมพ่อไม่ใช่เหรอ” ร่างสูงชะงักขาพลางสบถในลำคอด้วยไม่ค่อยอยากไปฝึกเป็นเด็กล้างจานสักเท่าไหร่

พ่อของเขาเปิดโรงแรมมีสาขาทั่วประเทศไทย ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวเพราะราคาไม่สูงมากนักแต่บริการมีระดับจนกลายเป็นขาประจำ หากมาไทยเมื่อไหร่ก็ต้องแวะมาพักที่โรงแรมนี้เมื่อนั้น

เปมทัตที่เป็นลูกชายก็ถูกคาดหวังให้มาสานต่อธุรกิจของครอบครัว ต้องเข้าไปเรียนรู้งานตั้งแต่พนักงานต้อนรับ เด็กขนกระเป๋าและตอนนี้เลื่อนมาล้างจานในครัวที่ทำเอาปวดหลังจนกลับมาบ้านต้องให้คนรับใช้นวดให้ทุกครั้ง

“ฉันกลับเองได้ไม่ต้องห่วงหรอก ไปแล้วไว้เจอกันพรุ่งนี้” โบกมือลาพลางเดินไปหน้าโรงเรียนปล่อยเพื่อนทั้งสองมองตามจนลับสายตาแต่ทำอะไรไม่ได้

ทางไปโรงแรมและบ้านของบุณณดาอยู่คนละฟากเลย เจ็บใจจนอยากบอกบิดาให้มาเปิดกิจการใกล้บ้านหล่อนเพื่อจะได้เห็นหญิงสาวอยู่ในสายตาทุกเมื่อ

“จะกลับไหมบ้าน จะให้ติดรถไปด้วย” หันกลับมาถามเพื่อนอีกคนที่เอาแต่นั่งกินไม่ยอมลุกทำเอาหล่อนต้องรีบพยักหน้าเช็ดไม้เช็ดมือกลัวเขาไม่รอตัวเอง

“กลับๆ” เพราะบ้านอยู่ใกล้กันบางวันก็มาโรงเรียนด้วยกัน คนส่วนมากจึงคิดว่าเปมทัตคบกับอรวราทั้งที่ความจริงไม่ใช่สักนิด

ในเมื่อมีแต่ฝ่ายหญิงที่ปันใจให้เพื่อนสนิทเพียงฝ่ายเดียวตลอดมา

หล่อนเดินออกจากโรงเรียนเพียงลำพังก่อนจะแวะซื้อของกินใกล้โรงเรียนค่อยเดินไปรอรถเมล์เพื่อกลับบ้าน เหม่อลอยคิดไปถึงช่วงชีวิตที่มีพร้อมด้วยทรัพย์สินเงินทอง ถูกเรียกว่าคุณหนูใบข้าว อยากได้อะไรเพียงแค่เอ่ยปากบิดาก็หามาให้

ผิดจากตอนนี้ลิบลับ หากต้องการอะไรก็ทำเพียงแค่ฝัน

แค่ฝันก็ดูเหมือนจะไกลตัวเสียแล้ว..

ปิ๊บๆๆๆ

เสียงบีบแตรทำให้สะดุ้งหันไปมองถนนพบว่าตนเองกำลังจะข้ามทั้งที่มีรถขับไปมา ร่างบางสะดุ้งตกใจจนรีบขึ้นไปบนฟุตบาธแต่ไม่ทันมองจึงสะดุดขาตัวเองล้มลงบนพื้นท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่มองด้วยความสนใจ

อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีแต่ที่ทำได้คือกลั้นใจยืนขึ้นอย่างทุลักทุเลกระทั่งมีมือมาประคองหล่อนเอาไว้จึงได้เงยหน้าไปมอง

“หนูเป็นอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มที่บีบแตรรีบลงมาจากรถแล้วถามอาการนักเรียนที่มีท่าทีตกใจด้วยความเป็นห่วง ดีที่เบรกรถทันตอนที่เห็นใบหน้าหวานเหมือนกำลังเหม่อลอยจะก้าวลงมาทั้งที่พาหนะของเขากำลังแล่นไปตรงหน้าเธอ

“ปะ เปล่า ไม่ค่ะ ไม่เป็นอะไรเลย สบายดีค่ะ” อับอายจนพูดตะกุกตะกักแล้วค่อยผละออกจากเขา ดวงหน้าหวานเงยขึ้นไปสบตาคมที่มองอย่างเป็นห่วงพลันหัวใจก็เต้นไม่เป็นจังหวะ

โอ้โห..หล่อจัง

แอบชื่นชมใบหน้าคมอยู่ภายในใจ ดวงตาเรียวยามจ้องมองทำเอาใจสะท้านได้ไม่ยาก จมูกโด่งเป็นสันทั้งริมฝีปากบางเฉียบราวอิสตรีนั้นอีก มีเสน่ห์จนทำให้คนที่ไม่เคยชายตามองใครอย่างหล่อนเพ้อขนาดนี้ ไม่ธรรมดาเสียแล้ว

“ขอโทษด้วยนะคะ” ค้อมศีรษะพร้อมแสดงความรู้สึกผิดที่ทำให้ชายตรงหน้าเสียเวลากับหล่อน นึกกลัวว่าเขาจะโมโหแต่ดูท่าทีเป็นห่วงเป็นใยก็พอเบาใจว่าคงไม่โดนฝ่ายชายเอาเรื่องที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ

“ถ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คราวหน้าก็ระวังหน่อยแล้วกัน” เตือนด้วยความหวังดีไม่มีท่าทีคุกคามแต่อย่างใด หล่อนยกมือไหว้เขาแล้วมองร่างสูงเดินกลับไปนั่งบนรถค่อยเคลื่อนตัวออกช้าๆ อยากมองจนลับสายตาทว่าเสียงเรียกที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ต้องหันไปเสียก่อน

ดวงตาสวยเบิกกว้างขึ้นแล้วมองซ้ายขวาทันทีค่อยพาชายมากกว่าวัยเข้ามาหลบคุยกันเพียงลำพังอยู่ด้านหลังป้ายรถเมล์ ค่อนข้างตระหนกเพราะไม่เจออีกฝ่ายหลายเดือนและเมื่อพบกันวันนี้สภาพของบิดากลับทรุดโทรมลงกว่าเดิม แทบไม่เชื่อว่าท่านอายุสามสิบแปดปีแต่ร่างกายกลับเหมือนคนห้าสิบกว่า อาจเนื่องจากพิษสุราที่ดื่มแทนน้ำแทบทุกวันทั้งที่แทบไม่มีเงินกินข้าว ปล่อยปะละเลยตนเองจนไม่อยากจะเชื่อว่าชายคนนี้เคยดูดีมากขนาดไหนในอดีต

“พ่อมาได้ไง” กระซิบถามกลัวคนอื่นได้ยินบทสนทนา

“มีเงินให้พ่อสักหนึ่งพันไหม” กลิ่นที่ออกจากปากทำเอาหล่อนต้องย่นจมูกทันที

“พ่อดื่มเหล้าอีกแล้วเหรอ ข้าวบอกว่าให้เลิกไงมันไม่ดีต่อสุขภาพ ไหนพ่อบอกจะอยู่กับข้าวไปนานๆ ช่วยรักษาสัญญาหน่อยไม่ได้เหรอ” ถามเสียงเว้าวอนทำเอาคนกินเหล้าแทนน้ำอดรู้สึกผิดกับลูกสาวไม่ได้

เขามีสีหน้าจืดเจื่อนแต่เพียงไม่นานก็รีบยิ้มรับคำถามเป็นมั่นเป็นเหมาะ “พ่อสัญญา พ่อจะเลิกเหล้าแต่ตอนนี้ขอเงินหน่อยสิ” ไม่วายเอ่ยถึงเรื่องที่บากหน้ามาหาลูกสาวทั้งที่คอยหลบซ่อนตัวตลอดเวลา

ท่านทำงานขับแท็กซี่ทั้งยังใช้รถยนต์เป็นสถานที่หลับนอน กลับบ้านบางวันเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำกลัวเจ้าหนี้ตามมาหาเรื่อง ตอนนี้มันก็พังข้าวของในบ้านแทบไม่มีชิ้นดี บ้านพวกเขาเหมือนบ้านร้างที่โดนตัดน้ำตัดไฟ ปล่อยเลยตามเลยทำเหมือนไม่มีคนอยู่พวกมันจะได้คิดว่าเขาตัวคนเดียวไม่มีลูก

บุณณดาทำงานพาร์ทไทม์เป็นเด็กเสิร์ฟและแคชเชียร์ในช่วงวันหยุด หาเงินเลี้ยงชีพตนเองทุกทางหวังพึ่งพ่อไม่ได้ แค่น้าที่ไม่ใช่ญาติสนิทแต่เพราะอยู่บ้านใกล้กันเห็นหญิงสาวขยันขันแข็งจึงเอ่ยปากชวนให้มาอยู่ด้วยก็เกรงใจจะแย่แล้ว

เธอไม่อยากทำตัวเป็นภาระให้คนอื่นเลี้ยง ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองมั่นคงมากกว่าจึงยึดความคิดนี้เอาไว้ตลอด

“ข้าวมีเท่านี้” ควักแบงค์ห้าร้อยยื่นให้บุพการีที่ตาลุกวาว ที่จริงหากท่านไม่ดื่มสุราและมัวเมากับการพนันป่านนี้คงมีเงินเก็บแล้ว

พยายามบอกและเตือนใช้ไม้อ่อนไม้แข็งแต่สุดท้ายพ่อก็กลับไปเล่นการพนันอยู่ดี ในเมื่อท่านติดมันเสียงอมแงมใครบอกใครเตือนก็ไม่ฟังสักคน

ญาติฝั่งบิดาเสียชีวิตไปหมดแล้วหล่อนจึงไม่อาจพึ่งใครได้ ส่วนมารดาก็เป็นกำพร้าตั้งแต่เด็กจึงไม่มีตายายให้เธอไปหา โลกใบใหญ่ที่แสนโหดร้ายมีเพียงพ่อเป็นครอบครัวที่หล่อนเหลืออยู่

บางทีก็อยากตัดพ่อตัดลูกแต่ก็ทำไม่เคยได้

แค่เห็นแววตาท่านหม่นหล่อนก็ใจอ่อนยอมให้เงินทุกครั้งทั้งที่ตัวเองต้องทำงานหนักเพิ่มเป็นสองเท่า

“ขอบใจมากลูก พ่อต้องรีบไปทำงานแล้ว” กอดบุตรสาวก่อนจะรีบเดินไปยังรถแท็กซี่ที่ใช้หากินของตนเอง มีเพียงบุณณดาที่มองบิดาจนท่านลับสายตาค่อยผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆ

เหลือเงินกลับบ้านแค่ยี่สิบบาท..

เป็นค่ารถเมล์พอดี

ดวงตาคมจ้องมองคนทั้งคู่ผ่านกระจกก่อนได้ยินเสียงบีบแตรให้เคลื่อนรถจึงค่อยขับออกไปอย่างเชื่องช้าขณะที่สมองก็ทำการประมวลผลทันที ใบหน้าคมเคร่งขรึมมากกว่าปกติแผ่ไอเย็นรอบห้องโดยสารที่มีเขาเพียงผู้เดียว

มือหนาเคาะพวงมาลัยเป็นจังหวะใช้ความคิดก่อนจะกดโทรศัพท์หาเลขาของตนซึ่งวันนี้เขาให้พักผ่อนก่อนจะลุยงานใหญ่

“ช่วยตรวจประวัติของบัลลพ บวรกิตติ์ให้ฉันที” สั่งเสียงเรียบไม่บ่งบอกความรู้สึกและเมื่อปลายสายรับคำก็จัดการวางเครื่องมือสื่อสารทันที

จากที่คิดจะปล่อยวางให้เวรกรรมหมุนไปตามล้อของมัน

แต่ดูเหมือนจะไม่ทันใจ คงต้องช่วยกระตุ้นให้กรรมหมุนเร็วขึ้นเสียแล้ว...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel