บทที่ 2 ศิษย์ที่ระบบเลือก!
วันต่อมา
ณ ภูเอกเซียนเจียง
วินาทีนี้มีผู้คนล้นหลาม อย่างไรเสียในเขตพื้นที่บริเวณโดยรอบหลักหมื่นลี้ สำนักเซียนเจียงก็เป็นหนึ่งในสำนักใหญ่ เป็นแดนบำเพ็ญตนศักดิ์สิทธิ์ในใจของคนที่นับไม่ถ้วน
“เงียบ”
และในเวลานี้เอง ก็มีเสียงระฆังที่มีชี่เสวียนปนอยู่สะท้อนมา ทำให้กลุ่มคนที่เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวในตอนแรกเงียบสงัดลงไปทันที
ก่อนจะเห็นว่ามีผู้อาวุโสที่ลักษณะท่าทีเหมือนดั่งเทพเดินขึ้นเวทีอำนวยการ
ส่วนด้านหลังของผู้อาวุโสคนดังกล่าว ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ออร่าไม่ธรรมดานั่งอยู่ด้วย ซึ่งชายที่นั่งอยู่ตรงกลางสุดก็คือเจ้าสำนักแห่งสำนักเซียนเจียง ซวนหยวนหง ส่วนผู้ที่เหลือล้วนเป็นประมุขภูของยอดภูอื่น ๆ
“ทุกคนตั้งแถวแล้วเริ่มตรวจสอบพรสวรรค์ตามลำดับ”
และในเวลานี้เอง เสียงของผู้อาวุโสที่เป็นผู้รับผิดชอบควบคุมดูแลก็สะท้อนมาอีกครั้ง
มีหินตรวจสอบพรสวรรค์สิบก้อนวางอยู่บนสนามที่อยู่ด้านล่าง รัศมีวงเวียนอยู่บนหินตรวจสอบ แบ่งออกเป็นสิบช่องทางเพื่อให้ศิษย์ใหม่เหล่านี้ตรวจสอบพรสวรรค์
ไม่นานนัก
ศิษย์ทั้งหลายก็เริ่มพากันตรวจสอบพรสวรรค์ตามลำดับ ใบหน้าอ่อนวัยทั้งหลายเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น พรสวรรค์ที่แข็งแกร่งคือเส้นทางใกล้ไกลในอนาคตของพวกเขา
การตรวจสอบพรสวรรค์นั้นง่ายมาก ๆ ขอแค่นำชี่เสวียนของตัวเองถ่ายเทเข้าไปในหินตรวจสอบ แล้วจะตัดสินความแข็งแกร่งอ่อนแอของพรสวรรค์ผ่านรัศมีที่สะท้อนออกมาจากหินตรวจสอบ
หินตรวจสอบพรสวรรค์จะสะท้อนข้อมูลออกมาเป็นสีขาว เขียว ฟ้า แดง ม่วงและสีทองทั้งหมดหกสี พรสวรรค์สีขาวถือเป็นพรสวรรค์ธรรมดา ลำดับสียิ่งสูงพรสวรรค์ก็ยิ่งดี
จากการตรวจสอบ มีทั้งคนดีใจและคนเสียใจ
ซึ่งปัญญาของศิษย์ส่วนมากล้วนเป็นสีขาว มีส่วนน้อยเท่านั้นที่มีปัญญาสีเขียว ส่วนปัญญาสีฟ้าก็มีน้อยมากถึงมากที่สุดเลย
และทางสำนักเซียนเจียงก็แบ่งเขตพื้นที่ให้กับศิษย์ทั้งหลายตั้งนานแล้ว ศิษย์ที่ตรวจสอบพรสวรรค์เสร็จสิ้นจะเรียงลำดับตามปัญญาพรสวรรค์ที่ตรวจสอบได้
“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปีนี้จะมีเหตุการณ์น่าประหลาดใจอะไรหรือไม่!”
บนที่นั่งสำหรับแขกคนสำคัญ ซวนหยวนหงและเหล่าประมุขภูเริ่มพูดคุยกัน
“นั่นน่ะสิ หากมีพรสวรรค์สีม่วงปรากฏคนหนึ่งก็ดีแล้ว”หนึ่งในประมุขภูพูด
“หากมีพรสวรรค์สีม่วงปรากฏจริง ๆ เช่นนั้นก็เท่ากับสวรรค์คุ้มครองสำนักเซียนเจียงของข้าแล้วล่ะ!”ซวนหยวนหงหัวเราะพลางพูดอย่างเบิกบาน ในส่วนของพรสวรรค์สีทองที่อยู่เหนือกว่านั้น เขายิ่งไม่กล้าไปจินตนาการด้วยซ้ำ!
ไม่นานนัก ก็มีผู้มีพรสวรรค์สีแดงปรากฏบนสนาม
นี่จึงทำให้ผู้คนพากันอุทานอย่างตะลึง
ส่วนพวกซวนหยวนหงก็ตื่นเต้นดีใจมากเช่นกัน
ผู้มีพรสวรรค์สีแดงคือพลังแกนกลางในอนาคตของสำนัก พวกเขาที่นั่งอยู่บนที่นั่งแขกคนสำคัญล้วนมีพรสวรรค์สีแดง
ซึ่งผู้มีพรสวรรค์สีแดงเหล่านี้ ก็เป็นผู้ที่แต่ละยอดภูต้องช่วงชิงถัดจากนี้เช่นกัน
จากการที่เวลาค่อย ๆ ล่วงเลยไป การตรวจสอบก็ใกล้จะจบลงแล้ว
นอกจากพรสวรรค์สีขาวสีเขียวและสีฟ้า มีพรสวรรค์สีแดงปรากฏทั้งหมดหกคน
ซึ่งผลลัพธ์เช่นนี้ถือว่าค่อนข้างไม่เลวเลย
ในขณะที่ผู้คนกำลังคิดว่าการตรวจสอบในครั้งนี้จบเพียงแค่นี้แล้ว จู่ ๆ ก็มีแสงสีม่วงแย้มบานออกมากะทันหัน
เมื่อแสงม่วงดังกล่าวปรากฏ ผู้คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุก็ล้วนตะลึงงัน
ส่วนพวกซวนหยวนหงก็ลุกพรวดขึ้นมาจากที่นั่งเช่นกัน แล้วเบิกตากว้าง
“นะ นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีพรสวรรค์สีม่วงปรากฏจริง ๆ”ซวนหยวนหงพูดพึมพำด้วยความเหลือเชื่อ
ส่วนผู้ที่ตรวจสอบพรสวรรค์สีม่วงได้คือชายหนุ่มที่แต่งตัวหรูหราคนหนึ่ง เขาในวินาทีนี้กำลังดื่มด่ำอยู่กับสายตาที่ดูอิจฉาของผู้คนทั้งสนาม ใบหน้ามีความเย่อหยิ่งปนอยู่เล็กน้อย
แต่ว่าเขาก็มีต้นทุนที่สามารถทำตัวเย่อหยิ่งได้เช่นกัน
สายตาของระดับสูงล้วนจับจ้องมาที่เขา เตรียมพร้อมที่จะลงมือแย่งตัว ทุกคนล้วนกำลังคิดอยู่ว่าจะดึงผู้มีพรสวรรค์สีม่วงนั่นเข้ามาในยอดภูของตัวเองอย่างไรดี
และหลังจากพรสวรรค์สีม่วงปรากฏ ช่วงหลังก็ไม่มีศิษย์ที่สามารถสร้างความประหลาดใจให้ผู้คนได้แต่อย่างใด
สุดท้ายการตรวจสอบพรสวรรค์ก็ได้สิ้นสุดลง
ถัดจากนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่ประมุขภูแต่ละคนต้องเลือกศิษย์แล้ว เนื่องจากอ้างอิงตามระเบียบปฏิบัติในงานรับศิษย์ทุกครั้ง ประมุขภูทุกคนล้วนมีโอกาสได้เลือกศิษย์คนสนิทหนึ่งคน
“เริ่มเถอะขอรับ เจ้าสำนัก”
ประมุขภูแห่งภูเทพกระบี่ ต้วนเฟิงพูดอย่างอดใจรอไม่ไหว ทั้งสำนักเซียนเจียง นอกเหนือจากภูเอกแล้ว ภูเทพกระบี่ของเขาแข็งแกร่งที่สุด อ้างอิงตามทำเนียบประเพณี เขาก็จะเป็นคนแรกที่ได้เลือกศิษย์เช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงมีโอกาสได้รับผู้มีพรสวรรค์สีม่วงนั่นสูงที่สุด!
และเมื่อประมุขภูคนอื่น ๆ เห็นเช่นนี้ จึงระงับอารมณ์โกรธไว้ในใจเช่นกัน ต่างก็รู้ด้วยว่าพรสวรรค์สีม่วงนั่นยากที่จะตกอยู่ในกำมือพวกเขาแล้วล่ะ
“ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม ภูอาสน์มู่ยังไม่ถึงเลย”
ซวนหยวนหงหันไปมองที่นั่งว่างข้าง ๆ รอบหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าแล้วตอบกลับ
“ภูอาสน์มู่?”
เมื่อได้ยินคำพูดของซวนหยวนหง ต้วนเฟิงจึงหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างอดไม่ได้ “เจ้าสำนัก ปัจจุบันภูอาสน์มู่เหลือเพียงคนไร้ประโยชน์คนเดียวแล้ว เขาจะมาหรือไม่มาแล้วมันมีความหมายอะไรหรือ?”
“อีกทั้งข้าก็ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดจึงต้องเรียกเจ้าคนไร้ประโยชน์นั่นมาด้วย หรือจะให้เขารับศิษย์เพื่อละเลยหน้าที่ในการสั่งสอนศิษย์คนหนึ่งจริง ๆ?”
ทันทีที่สิ้นเสียงเขา ร่างของจงชิงก็ปรากฏ
“ข้าจักละเลยหน้าที่ในการสั่งสอนหรือไม่นั้น ยังไม่ถึงคราวเจ้ามากลุ้มใจหรอก”
เห็นเพียงจงชิงที่อยู่ในชุดขาวเดินไปทางซวนหยวนหงที่อยู่ข้างกาย ก่อนจะประสานมือก้มคำนับ “กราบคารวะเจ้าสำนักขอรับ”
“อื้ม ตลอดการเดินทางลำบากเลยนะ”
ซวนหยวนหงตอบกลับ
และจากการที่จงชิงเดินขึ้นเวทีอำนวยการ สายตาของทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุก็ล้วนจับจ้องไปที่เขาทันที
เห็นได้ชัดเจนเลยว่า
ทุกคนล้วนเคยได้ยินเรื่องราวของประมุขภูน้อยแห่งภูอาสน์มู่นั่นแล้ว
หน้าตาหล่อมากก็จริง แต่ก็ไร้ประโยชน์จริง ถึงขั้นสัมผัสคลื่นผลการฝึกตนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“หึ เจ้าก็มีหน้ามาหรือ?”ต้วนเฟิงมองจงชิงด้วยสายตาที่ดูหมิ่น ก่อนจะพูดถากถาง “ภูอาสน์มู่ที่มีชื่อเสียงสมจริงของพวกเจ้าน่ะ ควรถูกถอดถอนออกไปจากสำนักเซียนเจียงตั้งนานแล้ว”
“เจ้ายังมีหน้ามาเลย ไยข้าจึงไม่มีหน้ามาเล่า?”
จงชิงมองเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “เมื่อปีนั้นอาจารย์ข้าก็ถือว่าเคยช่วยชีวิตเจ้าไว้หนหนึ่งเช่นกัน แต่เจ้ากลับโกรธแค้นมาโดยตลอด เพียงเพราะท่านอยู่เหนือเจ้าในทุก ๆ ด้าน ทั้งยังหาเรื่องทะเลาะต่าง ๆ นานา เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ข้าก็สูงส่งกว่าเจ้ามากเลยมิใช่หรือ?”
“ไอ้เด็กสวะ รนหาที่ตาย”
ต้วนเฟิงถูกจี้ปมจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทันที “เมื่อปีนั้นข้าไม่ได้ขอให้มันช่วยสักหน่อย มันเป็นคนอยากช่วยข้าเอง อีกอย่างมันก็ตายไปแล้ว เหลือแค่เด็กสวะอย่างเจ้า แล้วภูอาสน์มู่ไม่ควรถูกถอดถอนออกไปจากสำนักเซียนเจียงรึ?”
“พอได้แล้ว เลิกพูดจาไร้สาระกันได้แล้ว”
ซวนหยวนหงที่อยู่ข้าง ๆ ตวาดอย่างเคร่งขรึม “เริ่มรับศิษย์กันเถอะ”
“ขอรับ!”
จงชิงยิ้มอ่อน ไม่ได้รู้สึกร้อนรนอะไร สายตากวาดมองบนสนาม พลางคิดถึงผู้ที่ระบบชี้เจาะจงว่าคือผู้ใดกันแน่
ส่วนต้วนเฟิงก็นึกถึงผู้มีพรสวรรค์สีม่วงนั่น ก่อนจะทำเสียงหึอย่างเยือกเย็น แล้วไม่สนใจจงชิงอีก
ในขณะที่ต้วนเฟิงกำลังเตรียมตัวจะรับศิษย์คนแรกอยู่นั้น ซวนหยวนหงกลับเอ่ยปากพูดอีกครั้ง
“เนื่องจากหน่ายเต้าเหรินสร้างคุณูปการที่โดดเด่นให้แก่สำนักเรา บวกกับคำนึงถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของภูอาสน์มู่ ฉะนั้นข้าจึงวางแผนที่จะให้ภูอาสน์มู่เป็นคนแรกที่ได้รับศิษย์”
เสียงที่ดังก้องของซวนหยวนหงสะท้อนไปทั่วสนาม
จึงส่งผลให้ผู้คนฮือฮาขึ้นมาทันที
ต่างพากันแสดงสีหน้าที่ดูเหลือเชื่อ
ประมุขภูที่เหลือก็ล้วนเบิกตากว้างเช่นกัน โดยเฉพาะต้วนเฟิง เขายิ่งตะลึงจนตาแดงเถือก
นึกไม่ถึงเลยว่าคนแรกที่มีโควต้าได้รับศิษย์ก่อนจะยกให้ภูอาสน์มู่อย่างนั้นหรือ?!
มันมีสิทธิ์อะไร!
“เจ้าสำนัก ไม่ได้นะขอรับ!”
“นั่นสิ ภูอาสน์มู่มีคุณธรรมความสามารถสูงส่งอะไร ทั้งยอดภูก็มีเพียงจงชิงคนเดียวเท่านั้น แถมเขายังเป็นผู้แพ้ที่ผู้คนต่างยอมรับอีก นั่นเท่ากับทำให้ศิษย์ที่ถูกเลือกเสียผลประโยชน์มิใช่หรือ?”
“ผู้แพ้ของยอดภูที่รกร้างว่างเปล่ายังรับศิษย์อีก หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ผู้คนจะไม่หัวเราะเยาะจนฟันร่วงเลยรึ?”
ผู้คนต่างพากันซักถาม ต้วนเฟิงจึงบ่นจนตาแดงก่ำ
“หุบปาก”
“ทำไม คำสั่งของเจ้าสำนักอย่างข้าใช้การไม่ได้แล้วหรือ?”
สีหน้าอารมณ์ของซวนหยวนหงดูพิโรธ ก่อนจะปลดปล่อยพลังอำนาจที่แข็งแกร่งออกมา ทำให้คำซักถามทั้งหลายเงียบสงัดลงไปทันที
“ปฏิบัติตามที่ข้าบอก!”
ซวนหยวนหงพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
จากนั้นเขาก็หันไปมองจงชิงที่อยู่ข้าง ๆ รอบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางพูด“เจ้าหนู เจ้าเลือกเถิด เจ้าเลือกผู้ใดก็คือผู้นั้น”
นับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักเป็นต้นมา สำนักเซียนเจียงก็มียอดภูเจ็ดภูแล้ว
และสาเหตุที่เขาตัดสินใจทำเช่นนี้นั้น ก็เป็นเพราะอยากสนับสนุนให้ภูอาสน์มู่มีระดับตำแหน่งที่สูงขึ้นเช่นกัน อยากช่วยให้ภูอาสน์มู่กลับมารุ่งโรจน์ใหม่อีกครั้ง
แน่นอนอยู่แล้วว่านอกเหนือจากนี้แล้ว ก็มีความเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างเขาและหน่ายเต้าเหรินเช่นกัน
ทั้งคู่เป็นศิษย์พี่น้องกันมาตั้งแต่เด็ก บทเพลงโรงงิ้วแรกที่ได้ฟังในชีวิตนี้ หน่ายเต้าเหรินก็เป็นผู้ที่พาเขาไปเช่นกัน และเริ่มตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หน่ายเต้าเหรินถึงจะถูกแต่งตั้งให้เป็นเต้าเหรินที่แท้จริง
ส่วนเรื่องที่จงชิงไม่มีผลการฝึกตนแล้วอบรมพร่ำสอนศิษย์ไม่ได้ก็ไม่ใช่ปัญหาเช่นกัน อย่างมากอนาคตเขาก็แค่ต้องเดินทางไปภูอาสน์มู่บ่อยหน่อย แล้วคอยชี้แนะสั่งสอนให้อย่างลับ ๆ ก็พอแล้ว ทว่าสุดท้ายแล้วศิษย์คนนั้นก็ยังคงเป็นคนของภูอาสน์มู่อยู่ดี
และจงชิงก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าซวนหยวนหงจะยกโควต้าในการเลือกศิษย์คนแรกให้เขา
เขาจึงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างอดไม่ได้เช่นกัน
“ขอบคุณเจ้าสำนักมากขอรับ”
หลังจากก้มคำนับกล่าวขอบคุณเสร็จสรรพ จงชิงก็ไม่เกรงใจเช่นกัน ก่อนจะใช้สายตากวาดมองทั่วสนาม