บทย่อ
เคนทัคกี้คือโลกของเธอ ไม่ต้องการสิ่งใดนอกเหนือไปกว่านี้ แต่พ่อมีความเห็นว่า เธอควรจะทิ้งเรื่องม้า และกระทำตนเยี่ยงสุภาพสตรีเสียที ดานี่จำต้องยอมทำตามแม้จะไม่เต็มใจเลย แต่ชีวิตใหม่ในฐานะนางแบบ ซึ่งมีมาร์แชลล์ ทอมป์สันเป็นผู้ปรุงแต่งให้นั้น เลิศเลอกว่าที่เคยคิดไว้มากนัก แต่บุรุษซึ่งเป็นคู่อริมาตลอดคือ บาร์เรทท์ คิงส์ ไม่เห็นด้วยกับผลที่ตามมา ก็แล้วทำไมเขาจึงต้องคอยติดตามและสร้างความหวั่นไหวให้กับเธออยู่ตลอดเวลาด้วยเล่า?
บทที่ 1
ม้าแต่ละตัวยืนกระสับกระส่ายอยู่ในคอกแบ่ง ฟางที่ใช้รองพื้นคอกกระจัดกระจายอยู่ใต้กีบเท้าของมัน มีทั้งม้าสีน้ำตาลขนลื่นเป็นเงามันปลาบ ขนสีน้ำตาลปนแดง ซึ่งต่างก็ยื่นหัวออกมาส่งเสียงร้องคำรามเบาๆ ยามที่แสงสีแดงเริ่มจับขอบฟ้า
ดานี่ วิลเลียมส์มองเลยไปด้านหลัง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องจับอยู่กับร่างของบิดากำลังตรวจตราม้าหนุ่มร่างสูงสง่า ขนเป็นสีแดงอ่อน ซึ่งเป็นม้าจากพ่อพันธุ์ที่สายเลือดตรง ความตึงเครียดกระจายอยู่ในอากาศ เมื่อเจ้าม้าหนุ่มตัวนั้นแยกเขี้ยวแสยะ ทิ่มจมูกเข้าชนร่างล้ำเตี้ยของพ่อ
กล้ามเนื้ออันทรงพลังกอดกำเป็นมัดอยู่ตรงส่วนบั้นท้ายขณะที่มันเบือนหนีเสียจากร่างคน กีบเท้าเต้นอยู่ไหวๆ พลิ้วไปมาราวกับนักระบำบัลเล่ต์ ส่วนหัวอันสง่างามเชิดขึ้นอย่างผยอง นานๆ ครั้งจึงจะลดลงสู่พื้นดินด้วยช่วงคออันแข็งแกร่ง
ม้าตัวนี้ถูกตั้งขึ้นตามสัญชาตญาณแห่งความดุร้ายบ้าระห่ำของมันว่า เดอะ โร้ค มันเป็นนักสู้ตัวฉกาจ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ มันเป็นม้าแข่งสายเลือดตรงสมลักษณะอย่างยิ่ง พ่อของตานี่มักจะพูดอยู่เสมอว่า คนที่โชคดีเท่านั้นจึงจะได้ม้าชั้นดีเช่นนี้มาไว้ในครอบครอง
ความมหัศจรรย์จึงอยู่ที่ว่า เธอกับพ่อนั่นเองที่ได้มันมาไว้ในครอบครอง มันเป็นม้าที่มีอายุแค่ 2 ปี สูงขนาด 17 แฮนด์และยังจะโตต่อไปอีก แต่ความใหญ่โตของตัวมันมิใช่เป็นเพียงลักษณะเดียวที่จะบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ มันยังมีจมูกที่บานกว้างสามารถที่จะสูดลมเข้าไปได้โดยไม่จำกัด ยังมีแผงอกกว้างที่ภายในคือปอดซึ่งทรงประสิทธิภาพ และคุณสมบัติอันเป็นประการที่มีค่าที่สุดก็คือ มันเกิดมาเพื่อที่จะเป็นม้าแข่งฝีเท้าฉกาจอีกด้วย
เจ้าเดอะ โร้ค ตัวนี้เคยเข้าแข่งมาแล้วถึง 3 ครั้ง และได้ชัยชนะอย่างขาวสะอาดมาทั้ง 3 ครั้ง ในครั้งที่ 4 นั้นเมื่อมันถูกนำเข้าไปในสนามเพื่อเตรียมตัวที่จะเข้าแข่งขันด้วยความที่มันเป็นม้าอารมณ์ร้าย ด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือที่มีอยู่ ใคร่ที่ได้พุ่งตัวออกไปให้สมอยาก มันจึงพยายามจะเปิดประตูออกด้วยตัวเอง แต่ในที่สุดผลที่ได้รับก็คือทำให้ขาหน้าข้างขวาของมันต้องได้รับบาดเจ็บ
กับพลังแรงกายที่ตัวมันมีอยู่ ดังนั้นรอยแผลจากบาดเจ็บที่ได้รับจึงมิใช่น้อย เป็นเวลาถึง 2 เดือน ที่ทั้งสองพ่อลูกได้เฝ้ารักษาพยาบาลมันอย่างทะนุถนอมมาโดยตลอด ไม่ยอมให้มันออกวิ่ง ซึ่งเท่ากับจะเป็นการซ้ำเติมบาดแผลและกล้ามเนื้อให้สาหัสหรือเป็นอันตรายขึ้นกว่าเดิมได้ และวันนี้คือวันที่จะเอา เดอะ โร้ค ออกทดลองวิ่งเป็นครั้งแรก
มีความเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งเรียกสายตาของตานี่ให้หันไปมอง และแล้วก็ได้พบกับผู้ชายร่างสะโอดสะองคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาทางเธอ ในอ้อมแขนที่เขาหอบมาด้วยคืออานที่ใช้สำหรับการแข่งม้าโดยเฉพาะ มืออีกข้างหนึ่งถือแส้ไว้ เธอเหยียดยิ้มเครียดๆ เป็นเชิงทักทายเขา
“ผมเกือบจะลืมไปแล้วนะนี่ว่าไอ้การที่ต้องตื่นนอนตั้งแต่รุ่งสางน่ะมันเป็นยังไง” ผู้ชายคนนั้นเอ่ยขึ้น เมื่อเข้ามาหยุดอยู่ข้างๆ ตัวเธอ ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีน้ำตาลต่ำเตี้ยกว่าเธอมาก
“เช้าๆ บรรยากาศมันสงบสบายดี” ตานี่ตอบเบาๆ เอาฝ่ามือที่ชุ่มเหงื่อเช็ดกับกางเกงยีนส์สีซีดๆ เตรียมตัวพร้อมที่จะรัดสายคาดใต้ท้องม้าต่อ “คุณคิดยังไงล่ะ แมนนี่...คุณว่ามันพร้อมไหม?”
ดวงตาคู่สีน้ำตาลเข้มเบือนกลับมาสบตาดานี่ รูปตาของมานูเอล เฮอเรร่านั้นบอกให้รู้ว่าเขามีเชื้อสายเปอโตริกันอยู่เต็มตัว เขาไม่ได้ตอบคำถามของเธอ และดานี่ซึ่งใช้ชีวิตมาเกือบจะ 19 ปีเต็มเท่าอายุของเธออยู่กับกิจการม้าแข่งมาตลอดก็รู้ว่า เขาไม่แน่ใจเลยที่จะตอบคำถามประโยคนั้น เพราะมันมีอะไรบางอย่างอยู่ในท่าทางของม้า เดอะ โร้คที่ควรจะเป็นข้อสังเกตอยู่คือ แม้ว่ามันจะมีน้ำหนักถึงพันกว่าปอนด์ ซึ่งหลังจากที่ต้องบาดเจ็บ น้ำหนักทั้งหมดก็ต้องมารวมอยู่ที่ขาข้างเดียว ซึ่งข้อเท้าไม่ได้ใหญ่ไปกว่านักระบำเลย
เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ เหมือน จะระบายความหนักอกที่แน่นอยู่ในทรวง และแล้วด้วยความรวดเร็วที่เธอเหวี่ยงร่างขึ้นบนหลังม้าสีเทา และบังคับให้มันเดินช้าๆ ตรงไปยังเจ้าม้าสายเลือดตรงตัวนั้น เดอะ โร้คพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เมื่อยื่นจมูกเข้าไปดมเจ้าม้าตัวที่สงบกว่ามัน ขณะเดียวกันก็เต้นขยับขาขยับแข้งไปเรื่อยๆ แม้ว่าพ่อของเธอจะบังคับมันไว้
เธอกวาดสายตาไปทั่วใบหน้าของ ลิว วิลเลียมส์ซึ่งก็มองเห็นความตึงเครียดอันเป็นร่องรอยที่เพิ่มอายุให้กับตัวเขาอย่างไม่น่าเชื่อ ครั้งหนึ่ง ลิว วิลเลียมส์พ่อของเธอก็เป็นจ๊อกกี้เช่นที่แมนนี่เป็นอยู่ในเวลานี้ เพียงแต่ว่าเมื่อวัยผ่านไป ความสูงและน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ทำให้เขาไม่อาจจะคงอาชีพนั้นอีกต่อไปได้ แต่ทว่าเขารักการแข่งม้าอย่างเป็นชีวิตจิตใจราวกับว่ามันได้แทรกซึมอยู่ในสายเลือดของเขาเสียแล้ว หลังจากที่ดานี่ถือกำเนิดมาได้ไม่นาน เขาก็ได้เปลี่ยนอาชีพมาเป็นคนฝึกม้า ซึ่งก็พอจะอำนวยความสำเร็จให้บ้าง และเมื่อ 12 ปีที่ผ่านมา เขาก็เริ่มลงมือสะสมม้าแข่งประเภทต่างๆ ไว้ และเริ่มกิจการม้าแข่ง
แต่ก็เช่นที่พ่อของเธอเคยบ่นอยู่เสมอ ว่ามันจำเป็นจะต้องใช้เงินจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อส่งม้าเข้าแข่งขันแล้วแพ้ ประการสำคัญก็คือ ม้าแทบทุกตัวที่คอกของเขาส่งเข้าแข่งก็มักจะแพ้เสียด้วย ถ้าไม่นับเดอะ โร้ค เข้ามารวมด้วยแล้ว ม้าแข่งทุกตัวของพ่อก็จัดอยู่ในม้าชั้น 3 เท่านั้น และเงินที่ได้รับจากชัยชนะในระยะปีหลังๆ ก็ได้มาจากม้าแข่งที่มีอายุเกินกำหนดแล้วเท่านั้น แต่สำหรับเดอะ โร้ค มันสามารถที่จะบันดาลความฝันทั้งมวลที่พ่อเคยฝันมาโดยตลอดให้เป็นความจริงได้ มันจึงเป็นม้าที่มีค่าที่สุดของพ่อและเธอ
บัดนี้ การคาดสายบังเหียนได้เสร็จลงแล้ว และอานก็ถูกผูกรัดอย่างหนาแน่น พ่อของเธอจึงสั่งให้แมนนี่ขึ้นม้าได้ พร้อมกับจับตามองผู้ชายร่างเล็กที่กระโจนแผล็วขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังมัน เหมือนลิงตัวเล็กๆ ที่ขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่ๆ นั่น
“ให้มันวิ่งไปตามทางวิ่งสักรอบหนึ่งก่อนเพื่อให้มันปรับตัว” ลิว วิลเลียมส์สั่ง ดวงตาเป็นประกายอย่างกระตือรือร้น และจ๊อคกี้ก็ผงกศีรษะรับ “แล้วค่อยบังคับให้มันควบช้า...เอ้า ไอ้ห่า...ก็ฉันสั่งให้ช้าไว้ไงล่ะ” เขาตวัดสายตามามองลูกสาวนี่ยังคงนั่งอยู่บนหลังม้าสีเทาตัวของเธอ ”เอาแน้ปปี้ออกด้วย เดอะโร้คมันจะได้ลดฝีตีนลง”
ม้าสีเทาของดานี่นั้นเป็นเพื่อนร่วมคอกกับเดอะโร้คมาตลอด และเป็นม้าตัวเดียวที่มันจะไม่วิ่งขึ้นหน้าทิ้งระยะออกห่าง แมนนี่พยักหน้าแข็งๆ อย่างเข้าใจ ตวัดสายตามองไปทางดานี่เป็นเชิงบอกใบ้ให้เธอบังคับม้าออกวิ่งนำไปก่อน วินาทีต่อมาเธอกับเขาก็บังคับให้ออกเดินไปยังทางที่ว่างเปล่าอยู่ ทั้งคู่ควบม้าเคียงข้างกันไป มิได้ให้ความสนใจกับสวนกุหลาบแสนสวยที่ประดับอยู่ตามขอบสนามเลยแม้แต่น้อย หรือแม้แต่สโมสร เชอร์ชิลล์ ดาวน์ ที่จะต้องตกอยู่ในสายตา เชอร์ชิลล์ ดาวน์ คลับเฮ้าส์ แห่งนี้คือสโมสรแข่งม้าเข้าชิงรางวัลดาร์บี้ เป็นอาคารยอดแหลมที่มีอายุนับศตวรรษ
ทั้งเขาและเธอมิได้พูดอะไรกันเลย เมื่อดานี่กระตุ้นม้าตัวของเธอให้ออกวิ่งโขยกโดยมีเจ้า เดอะ โร้คตามมาติดๆ ทั้งสองต่างบังคับม้าให้ออกวิ่งไปตามทางวิ่งรูปทรงรีจนครบรอบ ดานี่เริ่มรู้สึกเครียดขึ้นมาเมื่อเธอกระตุ้นม้าให้วิ่งในจังหวะเรียบ และจับสังเกตได้ว่าม้าตัวของเธอนั้นพอใจที่จะวิ่งอยู่ทางขวาของเดอะ โร้ค และเจ้าม้าคู่ขาของมันก็วิ่งเคียงขนานไปเรื่อยๆ หูของมันตั้งขึ้น ยื่นคอไปข้างหน้าฉุดรั้งสายบังเหียนด้วยความลำพองใจที่จะออกวิ่งให้เร็วกว่านั้นให้ได้
เมื่อม้าทั้งสองตัววิ่งกลับมายังที่ซึ่งพ่อของเธอยืนรออยู่ แมนนี่ก็ชูแส้ขึ้นเป็นสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าทุกอย่างอยู่ในสภาพเรียบร้อย ลิว วิลเลียมส์จึงทำมือให้วิ่งวนอีกรอบและเมื่อออกวิ่งจนครบ 3 รอบแล้ว เขาจึงได้ชี้มือไปทางประตูคอก
ดานี่กลั้นลมหายใจไว้อย่างไม่รู้ตัว เมื่อเห็นพ่อก้มลงเอาฝ่ามือลูบไล้ไปตามขาหน้าข้างขวาของเดอะ โร้ค และแล้วเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น แววในดวงตากับรอยยิ้มบนใบหน้าบอกให้รู้ถึงความพอใจ
“ตัวมันยังไม่ทันอุ่นด้วยซ้ำ” เขาพูดเสียงเครือ ซึ่งดานี่ก็รู้ว่ามันเกิดจากความปีติในใจ “แกก็ลงมาได้แล้วละดานี่ เดอะ โร้คมันไม่ต้องการเพื่อนร่วมวิ่งด้วยแล้ว”
เธอเลื่อนร่างลงจากอานอย่างเห็นด้วย ยื่นมือไปลูบไล้แผงคอที่มันลื่นราวเส้นไหมของเจ้าเดอะ โร้ค แต่แล้วก็ต้องรีบชักมือออก เมื่อมันหันขวับมาทำท่าเหมือนพร้อมจะขบ อันเป็นไปตามสัญชาตญาณ
“แกมันไอ้ปีศาจอารมณ์ร้าย” ดานี่พูดกับมันเบาๆ อดยิ้มไม่ได้ เมื่อเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยแววฉลาดเฉลียวแต่ไม่น่าไว้วางใจคู่นั้น “ฉันน่ะอยากจะยอมให้แกกัดด้วยซ้ำ ขอแต่เพียงให้แกได้ออกวิ่งอย่างที่แกเกิดมาเท่านั้นละ”
แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังก้าวถอยหลังให้พ้นเสียจากระยะอันตรายจากฟันของมัน อดที่จะพิศวงกับความภาคภูมิสง่างามในตัวสัตว์ที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าเธอไม่ได้ และทันใดมันก็เบี่ยงหัวไปเสียจากคนที่กำลังชื่นชมในความสง่าของมัน ซึ่งทำให้ดานี่กับพ่อของเธอต้องมองตามว่ามีอะไรที่เรียกความสนใจของมันขึ้น