บทที่ 14 ช่วยกอดฉันแทนเขาที
“ขอโทษนะ วันนี้เพิ่งเข้าร้านเหล้าเป็นครั้งแรก ก็เลยไม่ค่อยมีประสบการณ์ คราวหน้าจะไม่โง่ขนาดนี้แล้ว”
“จือจือ เธอไม่ชอบผมตรงจุดไหน ผมจะแก้ไข ผมจะแก้ไขให้หมดดีไหม?”
เธอยิ้มอย่างคลุมเครือ
“ช่างมันเถอะ นายแก้ไขไม่ได้หรอก”
นายสามารถแก้ไขชาติกำเนิดของนายได้หรือ?
นายสามารถไม่เป็นลูกของหมอที่ถอดถังออกซิเจนของพ่อฉันด้วยมือตัวเองในปีนั้นได้ไหม?
นายทำไม่ได้หรอก
ไป๋จือรู้ว่า ลู่ฮ่าวคือแก้วตาดวงใจราวกับอยู่ในฝ่ามือของทั้งตระกูลลู่ ดังนั้นหากคิดจะแก้แค้นตระกูลลู่ ทางที่ดีก็ให้ลู่ฮ่าวตกหลุมรักตน
แต่เธอก็รู้ดีว่า ความรู้สึกที่ลู่ฮ่าวมีต่อเธอนั้นเป็นเรื่องจริง ดังนั้นเธอก็ไม่อยากจะทำร้ายลู่ฮ่าวมากเกินไป
ดังนั้นเธอจึงเอ่ยว่า “ฉันหมายความว่าฉันไม่ชอบเด็กหนุ่มผู้แสนดีแบบนาย หลังจากนี้ก็อย่าได้เสียเวลากับฉันเลยจะดีกว่า”
“ผมก็ยังคิดว่าเธอแค่ไม่ชอบหมอเท่านั้นซะอีก” ลู่ฮ่าวกลับคิดว่านี่คือโอกาส เขาเงยหน้าขึ้นมองแล้วถามอย่างกระตือรือร้นว่า “แล้วจือจือชอบคนแบบไหนเหรอ”
“ฉันชอบคนแบบอาจารย์โจวของนาย”
เมื่อได้ยินชื่อโจวฉงเหย่หลุดออกจากปากเธออีกครั้ง ลู่ฮ่าวก็รู้สึกไม่สบายใจ
“จือจือ! อย่าพูดเพ้อเจ้อไป!”
เห็นแก่ความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างสองตระกูล โจวฉงเหย่จะคอยสอนการบ้านลู่ฮ่าวเป็นระยะ ๆ
ผู้เชี่ยวชาญในสาขามนุษยศาสตร์คอยสอนการบ้านมัธยมให้เขา ลู่ฮ่าวกลัวอาจารย์โจวมาตั้งแต่เด็ก
ไป๋จือ “ฉันชอบผู้ชายแบบเขานั่นแหละ"
“แต่ว่าอาจารย์โจวมีบริษัทผลิตยาของโรงพยาบาลหลายแห่งภายใต้ชื่อของเขานะ”
ดวงตาไป๋จือฉายแววเยือกเย็นแวบหนึ่ง
ผ่านไปหนึ่งวินาที เธอก็กดความเย็นชานี้ลงไป
จังหวะนั้นเอง เธอบังเอิญเห็นใบหน้าคุ้นเคยตรงสุดปลายของฝูงชน
โจวฉงเหย่
คืนนี้เขาก็มาที่นี่ด้วย
โจวฉงเหย่มาที่ร้านเหล้าแห่งนี้เป็นครั้งคราว ไป๋จือคิดหาวิธีทุกอย่างเพื่อสืบหาข้อมูลออกมา
ร้านเหล้าแห่งนี้มียอดการใช้จ่ายขั้นต่ำสูงมาก แต่ละคนอย่างน้อยหนึ่งพันหยวน ถ้าไม่ใช่ลู่ฮ่าว ตัวเธอเองก็ไม่สามารถจ่ายได้ ยังดีที่วันนี้แค่อยากลองเสี่ยงดวง กลายเป็นว่าเจอโชคดีเข้าแล้วจริง ๆ
ไป๋จือหยิบถ้วยเหล้าขึ้นมา แล้วสบตาโจวฉงเหย่ในระยะไกล เขย่านิ้วมือและสายรัดข้อมือประดับหมุดบนข้อมือให้เขาอย่างเย้ายวนใจ
ลู่ฮ่าวหันหน้าไปทางเคาน์เตอร์บาร์อยู่ตลอด ไม่เห็นว่าข้างหลังเขามีใครมา จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงก้อนน้ำแข็งในถ้วยเหล้าของไป๋จือดังติงตัง เธอกระซิบข้างหูเขาประโยคหนึ่ง "อาจารย์โจว เขามีเสน่ห์ทางเพศ"
"แล้วนายมีไหม?"
เอ่ยจบ ไป๋จือก็ยกเท้าขึ้นเตรียมจะเดินจากไป
“จือจือ——”
“อย่าตามฉันมา ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ”
ไป๋จือพูดประโยคนี้เสร็จก็ทิ้งลู่ฮ่าวเดินออกไปทันที
ไป๋จืออยู่ในห้องน้ำหวนนึกถึงเสี้ยววินาทีที่สบตากัน โจวฉงเหย่จะต้องเห็นสายรัดหนังบนข้อมือของเธอแล้วอย่างแน่นอน
เธอหยิบเบอร์โทรใหม่ที่เตรียมเอาไว้ส่งข้อความให้เขาต่อ
“คุณอารู้หรือไม่ว่าบนสายรัดมือของฉันคือชื่อของคุณ”
“บนร่างกาย ในชุดชั้นใน เต็มไปด้วยชื่อของคุณ ฉันเป็นของคุณ”
เมื่อครู่นี้ โจวฉงเหย่ไม่เพียงเห็นไป๋จือเท่านั้น แต่ยังเห็นลู่ฮ่าวด้วย
ตรงบาร์ เด็กหนุ่มและหญิงสาวนั่งติดกันอย่างสนิทชิดเชื้อ
ทว่าวินาทีถัดมา ข้อความดังกล่าวก็ถูกส่งมาที่มือถือของเขา
สีหน้าโจวฉงเหย่ดูย่ำแย่มาก เขาไม่อยากสนใจหญิงสาวที่ทำตัวกำเริบเสิบสานโดยสิ้นเชิง ก่อนจะเดินตรงขึ้นไปชั้นบนไปยังห้องVVIPที่ล้อมรอบด้วยกระจกเหมือนลูกบาศก์น้ำแข็ง
คนอื่นที่นั่งอยู่ในห้องวีวีไอพีด้วยก็มีลูกหลานของผู้ที่มีฐานะดีอยู่หลายคนที่เล่นกับเขาด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโต
ตอนนี้ทุกคนโตกันหมดแล้ว บางคนทำงานด้านการลงทุน บางคนทำงานด้านอินเทอร์เน็ต และบางคนเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาปัญญาประดิษฐ์
มีเพียงโจวฉงเหย่เท่านั้นที่เรียนสาขาวิชาที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสร้างรายได้นัก
แต่ทุกคนก็รู้ว่า เขาที่เรียนกฎหมายและปรัชญาถึงจะเป็นราชาในกลุ่มนี้
มีคนกล่าวว่า การเข้าใจวรรณศิลป์คือสัญลักษณ์ที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษรของมหาเศรษฐีระดับสูง
เนื่องจากวงการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ในโรงเรียนต่างประเทศเต็มไปด้วยบุคคลสำคัญทางการเมืองหรือผู้สืบทอดบัลลังก์จากแต่ละประเทศ พวกเขาไปเข้าเรียนไม่เพียงเพื่อศึกษาหาความรู้เท่านั้น แต่ยิ่งเป็นไปเพื่อสร้างความสัมพันธ์
หากไม่ได้ร่ำรวยถึงระดับหนึ่ง ก็ไม่มีทางเลือกสาขาวิชาเช่นนี้หรอก
เมื่อโจวฉงเหย่นั่งลง บรรยากาศในห้องวีวีไอพีก็เงียบลง
แต่จังหวะนั้นเอง กลับมีคนเห็นร่างของหญิงสาวที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวด้านนอกกระจก และส่งเสียงชื่นชม
“โอ้ สาวน้อยคนนี้หน้าตาน่ารักมาก!”
ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนกำลังมองพวกเขาด้วยเช่นกัน เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางแสงเงาของกระจกศิลป์ ก็สามารถควบคุมบรรยากาศและจินตนาการได้อย่างดีเยี่ยม
ผู้คนในห้องวีวีไอพีทยอยกันเห็นเธอ เอ่ยชมเชยเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
"นานแล้วที่จิงเป่ยไม่มีคนหน้าตาดีสดใสบริสุทธิ์เช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมา คุณหนูผู้ร่ำรวยเหล่านั้นแต่ละวันเรียนแต่งลุค ABGอะไรกันแน่ หลังจากลบเครื่องสำอางออก ผิวของพวกเธอก็หยาบเหมือนผี เป็นคนจีนดี ๆ ทำไมต้องไปเรียนรู้จากต่างชาติด้วย”
ไป๋จือไม่ได้ปกปิดความงามของเธอภายใต้สายตาจ้องมองของฝูงคนที่ดุร้าย
วันนี้เธอยังคงสวมกระโปรงสีขาวตัวนั้น
เมื่อเธอสวมเสื้อฮู้ดก็จะกลายเป็นเทพธิดาแห่งมหาวิทยาลัยศิลปะ เมื่อถอดออก เธอก็จะกลายเป็นดอกถานฮวาเที่ยงคืนที่สูงส่งและอันตราย
เมื่อเธอตัดสินใจขึ้นไปตามหาโจวฉงเหย่ที่ชั้นสอง เธอก็ทิ้งเสื้อฮู้ดไว้ที่ห้องน้ำชั้นล่าง
มีเพียงกระโปรงยาวพริ้วไหวสไตล์มินิมอลบางเบาแต่ไม่เห็นเนื้อใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ที่ครึกครื้น มีแสงสีและเครื่องดื่มมากมายเช่นนี้ ผ้าไหมสีขาวดูสะอาดสะอ้านจนดูเหมือนสะท้อนแสง ให้คนรู้สึกว่าบอบบางจนหักได้ง่าย
เธอพิงบนฉากกั้นกระจกของห้องวีวีไอพี ทิ้งเงาร่างอรชรไว้ให้เห็นเลือนราง
ทันใดนั้น
เธอกางนิ้วมือออกแล้วยันบนกระจกหน้าตัวเอง
บริเวณหน้าอกค่อย ๆ ปรากฏรอยปลายนิ้วทั้งสิบที่อบอวลไปด้วยไออุ่นจากร่างกาย
“ให้ตายเถอะ ยอดฝีมือหรือนี่!”
คุณชายคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ โจวฉงเหย่อดไม่ได้ที่จะด่าออกมา
“แม่งเอ้ย สาวบริสุทธิ์และยอดเยี่ยมมาแล้วเนี่ย คงไม่ใช่ว่าพวกนายคนไหนที่ทำให้เธอมาที่นี่หรอกนะ”
“ผมก็อยากให้คนเช่นนี้มาเหมือนกัน… แต่ฉงเหย่ ทำไมผมรู้สึกเหมือนเธอกำลังมองนายอยู่?”
โจวฉงเหย่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะอาด ตอนนี้เขาก็กำลังจะหมั้นแล้ว ทุกคนก็เลยไม่ได้คิดมาถึงเขาเท่าไร
เขาไม่เคยสนใจรอบข้างมาแต่ไหนแต่ไร ขอแค่อีกฝ่ายเอ่ยถึงเขา เขาถึงจะหันไปมองหญิงสาวนอกกระจกแวบหนึ่ง
ควันจากบุหรี่ในมือและศิลปะบนกระจกที่มีลวดลาย ทำให้ใบหน้าของเธอพร่ามัวเล็กน้อยในทัศนวิสัยของเขา
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เดาได้ในทันทีว่าผู้มาเยือนคือใคร
ในขณะเดียวกัน
โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเข่าของเขาก็สั่นขึ้นมาอีกสองครั้ง
“คุณอาโจว คนที่ฉันกำลังมองอยู่ก็คือคุณ”
“คืนนี้คุณกับคุณรั่วทะเลาะกันด้วยเรื่องของฉันใช่ไหมคะ?”
ไม่รู้ว่าเพราะผลของนิโคติน หรือแรงกระตุ้นจากฮอร์โมนในบาร์ โจวฉงเหย่นึกถึงแมวเปอร์เซียสีขาวตัวหนึ่งที่เขาเคยเลี้ยงเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก
เจ้าแมวตัวนั้นก็เคยติดเขาแบบนี้ แต่เขายุ่งกับการเรียน นอกจากไปโรงเรียนแล้ว เขามักจะต้องเรียนกีฬาขี่ม้าและศิลปะด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่เป็นเพื่อนแมวที่บ้าน
ต่อมา แมวเรียนรู้ที่จะจงใจ "ห่างเหิน" เขา
บางครั้งมันก็ล่อให้เขามาเล่นด้วย รอเขาสนใจมันเมื่อไร มันก็วิ่งไปอยู่ใต้โซฟาอย่างทะนงตน
เพียงแต่ว่า ไม่นานนักแมวก็ถูกฆ่าตาย
สาเหตุการตายไม่แน่ชัด ดูเหมือนมันจะถูกคนวางยาพิษอย่างชั่วช้า มันนอนจมกองเลือด เส้นขนสีขาวของมันเปื้อนไปด้วยเลือดที่อาเจียนออกมา เขานั่งคุกเข่าขุดหลุมฝังมันด้วยมือของเขาเองในมุม ๆ หนึ่งของสวนที่พ่อแม่เขาไม่รู้
ความรู้สึกที่ไป๋จือมอบให้เขา บางครั้งก็คล้ายกับแมวตัวนั้นมาก
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตอบข้อความของเธอเป็นครั้งแรกโดยไม่รู้ตัว
"เปล่า."
เขากำลังตอบคำถามว่าเขาได้ทะเลาะกับรั่วเฟยหรือไม่
ชายหนุ่มตอบกลับเสร็จ ก่อนจะคีบบุหรี่มาสูบโดยไม่พูดอะไรอื่นอีก
ผ่านไปหลายนาที เมื่อโจวฉงเหย่เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็ไม่เห็นเงาของหญิงสาวตรงกระจกแล้ว
เขาคิดว่าเธอกลับไปแล้ว คนรอบข้างก็ไม่ได้พูดถึงเธออีก
ชายหนุ่มดื่มเหล้าอีกแก้วหนึ่ง
รู้สึกหมดความสนใจ จึงออกไปที่ลานจอดรถ
เนื่องจากเป็นการเดินทางส่วนตัว คืนนี้โจวฉงเหย่ไม่ได้นำคนขับรถมาด้วย เขาจึงเปิดโทรศัพท์มือถือเพื่อเรียกบริการขับรถ
จังหวะนั้นเอง หญิงสาวที่เพิ่งหายตัวไปก็กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง
“คุณอา ขอถามว่ากำลังรอคนขับรถอยู่หรือเปล่าคะ?”
โจวฉงเหย่มองไป๋จือ
ไม่มีกระจกมากั้น ใบหน้าของเธอก็มองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ชายหนุ่มสูบบุหรี่หนึ่งคำ เอนตัวพิงประตูรถแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา "เธอขับรถเป็นด้วยเหรอ"
ไป๋จือ "ฉันขับได้ค่ะ และชอบขับรถน่าตื่นเต้นเร้าใจกว่าการขับรถแทนด้วยค่ะ"
ชายคนนั้นขมวดคิ้วและอยากจะบอกว่าไม่ต้อง
แต่คำว่า "ต้อง" ไม่ได้พูดออกมา
จู่ๆ หญิงสาวตรงหน้าก็ก้าวมาข้างหน้า เห็นเพียงปีศาจสาวที่ยั่วยวนในบาร์เมื่อครู่นี้ก้มศีรษะลงในทันทีทันใด น้ำตาคลอหน่วย แต่น้ำตานี้กลับไม่เหมือนเสแสร้ง ต่อสู้กับความดื้อดึงที่อดกลั้นเอาไว้ ตั้งแต่ขอบตาไปจนถึงลูกตาขาวก็แดงก่ำราวกับไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างรุนแรง
“คุณอาโจว คืนนี้ฉันเสียใจมาก”
ในช่วงเวลาหนึ่ง เขาเชื่อจริงๆ ว่าที่เธอบอกว่าเสียใจนั้นพูดมาจากใจ
เธอจับชายเสื้อผ้าของเขาด้วยท่าทางที่อยากให้เขาเห็นใจ เหมือนความกระหายที่จะพบเจอกับเทพเจ้าที่ใจอ่อน
เหมือนเขาเป็นความหวังและฟางเส้นสุดท้ายของเธอ
ขี้บุหรี่ร่วงหล่นลง เมื่อเมล็ดแห่งความอยากรู้อยากเห็นงอกขึ้นมา ก็ไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป
"ทำไมคุณถึงเสียใจ?"
เนื่องจากรั่วเฟยลอยนวลจากการถูกจับกุมอีกครั้ง เธอจึงรู้สึกเหมือนเธอกำลังต่อสู้ที่ไม่ว่าจะสู้ยังไงก็ไม่ชนะ
แต่แน่นอนว่าเธอไม่มีทางพูดความจริง
เพียงชั่วพริบตาเดียว เธอก็เช็ดน้ำตา จู่ ๆ ก็พูดถึงเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิงออกมา
“คุณอาโจว คุณรู้ไหม”
“ปีนี้เป็นปีที่สี่แล้วนับตั้งแต่พ่อของฉันจากไป และวันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของเขา”
“ฉันคิดถึงพ่อจริง ๆ...คุณช่วยกอดฉันแทนเขาหน่อยได้ไหม...”
โจวฉงเหย่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเธอกำลังโกหก
ทุกครั้งที่เธอโกหก ความอ่อนแอที่แสร้งทำและการประจบแจงที่แฝงในส่วนลึกดวงตาจะชัดเจนเป็นพิเศษ ไม่เหมือนสีหน้าเมื่อครู่นี้ที่ดูจริงใจและดื้อรั้นเวลาบอกว่าตนเองเสียใจ
ผู้หญิงคนนี้หยิ่งจนคร้านที่จะเสแสร้งด้วยซ้ำ
แต่การเคลื่อนไหวของมือเธอกลับใจกล้าปานนี้
เขารู้สึกได้ว่า มือคู่หนึ่งกำลังยื่นเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเบลเซอร์ของเขาเหมือนงูน้ำ
นิ้วทั้งสิบของเธอย้ายมาสำรวจเนื้อผ้าของเสื้อเขาต่อเหมือนกับที่ทำบนกระจกเมื่อครู่นี้
ความอดทนของผู้ชายคล้ายจะถึงขีดจำกัดแล้ว ดวงตาฉายแววเคร่งขรึม ก่อนจะคว้าข้อมือของเธอ พลิกตัวเธอมากดเธอกับประตูรถเบนท์ลีย์ เข่าของเขาสัมผัสตรงสีข้างของเธออย่างรุนแรง
“เธอชอบผมขนาดนั้นเชียวรึ? ไม่งั้นจะให้โอกาสเธอสักครั้ง ดีไหม?”