คุณภาคย์
“ ฉันจะไปรู้เขาเหรอนังคำศรี ไปอยู่เมืองนอกเมืองนามานานก็คงเบื่อละมั้ง เขาว่าอาหารมันเลี่ยนไม่เหมือนอย่างบ้านเรา คุณเขาคงคิดถึงส้มตำข้าวเหนียวไก่ย่าง ” ยายแผ้วพูดติดตลก
“ นั่นสิ อะไรมันจะมาแซ่บเท่าส้มตำปลาร้าเนาะ เออนี่ แล้วเขาไปตั้งกี่ปีดีดักแล้วล่ะเนี่ย ”
“ จำไม่ได้แล้วว่ะ น่าจะเป็นสิบ ๆ ปี ”
“ ไม่ถึงสิบ แค่แปดปีจ้ะ ” เสียงหวานร้องตอบมาจากหลังบ้านที่เธอกำลังพาดผ้าห่มลงไปบนราวตากผ้าที่ทำขึ้นมาด้วยเสาสองเสาแล้วขึงด้วยลวดจนตึง หญิงชราที่กำลังสนทนากันหันไปหาต้นเสียงทันที
“ นี่แกแอบฟังพวกยายคุยกันเรอะ นังแพร ”
“ โธ่ แหกปากคุยกันขนาดนั้น ได้ยินไปยันหัวซอยท้ายซอยแล้วจ้ะยายจ๋า ” เด็กสาวตอบพลางหัวเราะร่วน
“ แล้วเอ็งรู้ได้ยังไงว่าพวกเราพูดถึงใคร ”
“ ก็คุณอาคนนั้นที่อยู่บ้านผีสิงหลังใหญ่ ๆ ท้ายหมู่บ้าน ที่เขายังจ้างยายไปทำความสะอาดทุกเดือนไม่ใช่เหรอ ”
“ เดี๋ยวตบปากแตกเลย บ้านผีสิงที่ไหนกันนังแพร พูดไปเรื่อยเจื้อย ”
“ ก็มันน่ากลัวนี่จ๊ะยาย บ้านหลังใหญ่หลังโต ต้นไม้รกครึ้ม ไอ้สวยมันก็สวยอยู่หรอกแต่ร้างคน ไม่มีใครอยู่ มันก็เงียบน่าขนลุกพิลึก ”
“ แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าคุณภาคย์เขาไปนอกแปดปี ”
“ รู้สิจ๊ะ หนูจำได้ เพราะว่าตอนเขาจัดงานศพพ่อกับแม่ เขายังมาจ้างให้ไปช่วยทำความสะอาดบ้านล้างจาน ตอนนั้นหนูอยู่ปอสี่ จำได้ขึ้นสมองเลยเพราะกลัวผีหลอก หลังจากนั้นสองสามเดือนยายก็บอกว่าเขาไปนอกแล้ว ”
“ นังแพรนี่มันความจำดีจริงๆ สมแล้วที่มันเรียนเก่งได้ที่หนึ่งมาตลอดแถมสอบติดพยาบาลได้ ดูนังจอยหลานฉันสิ ได้เกรดเป็นไข่มากินเป็นพะเรอ ครูจะให้จบหกหรือเปล่าก็ไม่รู้ นี่ก็แร่ด ๆ ซ้อนมอเตอร์ไซค์ผู้ชายที่ไหนไปอีกก็ไม่รู้ ฉันล่ะปวดกบาลจริงพี่แผ้ว ” คำศรีบ่นหลานตัวเอง ยายแผ้วยิ้มกว้างอย่างภูมิอกภูมิใจ
“ มันบุญของฉันที่ได้หลานดี คงชดเชยที่แม่มันร้ายล่ะมั้ง ”
“ นั่นน่ะสิ เออ ว่าแต่ว่าคุณภาคย์แกจะมีครอบมีครัวไปหรือยังนะพี่แผ้ว ตอนไปนั่นเบญจเพส ไปแปดปี ตอนนี้ก็... ” ยายแผ้ววกมาสนทนาเรื่องเดิมต่อพร้อมยกนิ้วขึ้นมานับ
“ สามสิบสามแล้ว คงมีเมียแหม่มหัวทองไปแล้วมั้ง ”
“ ก็คงงั้นแหละ ทั้งหล่อ รูปร่างดี มารยาทดี สาว ๆ ที่ไหนทั้งไทยและเทศก็คงอยากได้นั่นแหละ ” ทั้งคู่ก็สนทนาเรื่องของคนอื่นกันอีกเรื่อยเปื่อยอีกพักใหญ่
“ ยายจ๋า แกงส้มมะรุมได้ที่เปื่อยดีแล้ว หนูย่างปลาหมอเคล้าเกลือแถมทำน้ำจิ้มแจ่วไว้เรียบร้อย มากินข้าวเถอะจ้ะ ยายศรีก็มากินด้วยกันนะจ๊ะ แกงหม้อเบ้อเริ่มเลย ปลาหมอซื้อลุงใสขี้เมาเอามาขายให้ถูกๆ เมื่อวานนี้ กำลังมันดีจังเลย ตอนย่างนะมันหยดติ๋ง ๆ เลย ” เสียงแจ๋วๆ ของแพรใสขัดจังหวะการสนทนาที่กำลังออกรสของยายทั้งคู่
“ เออ ดีเลยหนูแพร ยายตำน้ำพริกกะปิกับทอดมะเขือยาวชุบไข่ไว้ เดี๋ยวฉันไปหยิบแป๊บนะพี่แผ้ว เดี๋ยวตามไป ”
“ เออๆ ”
สังคมชนบทก็แบบนี้ ผู้คนถ้อยทีถ้อยอาศัย และเวลาใครเป็นอะไรก็รู้กันไปหมดทั้งหมู่บ้านเพราะปากคนนั่นแหละเป็นหอกระจายข่าว
แพรไหมอาศัยอยู่กับยายมาตั้งแต่จำความได้ ยายมีลูกสาวคนเดียวคือแม่ที่เรียนจบแค่ชั้นประถมแต่ไม่ยอมเรียนต่อ ตามรุ่นพี่แถวบ้านไปทำงานกรุงเทพฯ แล้วท้องไม่มีพ่อกลับมาคลอดลูกทิ้งไว้ให้ยายเลี้ยงแล้วก็หายไปเลย ไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็น ได้ข่าวอีกทีตำรวจมาแจ้งถึงที่บ้านว่าแม่ของเธอไปพัวพันกับแกงค์ค้ายาและโดนฆ่าตัดตอนตายไปแล้ว
แม้จะเกิดมาท่ามกลางความแหว่งวิ่น ยายเองก็ไม่ใช่ ผู้ดิบผู้ดีอะไรนัก เป็นผู้หญิงปากตลาด แต่ยายก็เลี้ยงดูเธออย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง ยายมีสองอาชีพ คือทำขนมไทยแล้วขี่รถซาเล้งไปฝากแม่ค้าที่ตลาดขาย อีกหนึ่งคือรับจ้างทำความสะอาดทั่วไป ความที่ยายเป็นคนละเอียด ใครๆ แถวนี้ก็จ้างยายไปทำความสะอาดบ้านให้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นครู หมอ พยาบาล พ่อค้าแม่ค้าในตลาด เรียกได้ว่าคิวแน่นเอี้ยด แม้ว่ายายจะคิดแพงกว่าคนอื่นก็เถอะ