บทที่ 6 เริ่มมีประโยชน์
หลังจากที่หลงเหยาเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปตามหานเจียเจิงผู้เป็นพ่อและหานเจี้ยนหยีพี่ใหญ่ของเขาตัวหลินเฟิงจึงค่อยๆ หยิบดินเผาที่ต้มรากบัวในนั้นมาถ้วยหนึ่งก่อนจะตักขึ้นมาเป่าให้เย็น
"ในนี้คือต้มรากบัวมันมีรสหวานอ่อนๆ เจ้าไม่ควรกินของรสจัดรากบัวนี้ไม่มีพิษเหมือนเห็ดที่เจ้ากินเข้าไปเมื่อเช้าหรอกนะ"
เธอพูดคาดโทษหญิงสาวตัวน้อยที่นั่งเอามือกุมท้องเบาๆแต่อย่างน้อยเด็กสาวก็ไม่ร้องไห้ทุรนทุรายแล้วละ
"รากบัวกินได้ด้วยเหรอพี่สะใภ้ใหญ่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย"
หญิงสาวถามเสียงอ่อนน้ำเสียงของเธอดีขึ้นกว่าตอนที่พูดกับเธอก่อนหน้านี้มากโข จนจางหมิ่นเองยังปรับตัวด้วยไม่ทันเลย
"อืมกินได้สิอร่อยด้วยลองกินดูนะ"
เธอค่อยๆป้อนน้ำซุปของต้มรากบัวเข้าปากเด็กสาวจื่อรุ่ยอย่างอ่อนโยนแววตากลมโตของเด็กสาวก็ลุกเป็นมันวาวอย่างประหลาดใจจากน้ำซุปรสละมุน ที่ออกหวานนิดๆมันเป็นรสชาติที่เธอโหยหามาหลายปีจนแทบจะลืมว่าหวานรสชาติเป็นอย่างไร
"อร่อยจัง ท่านทำอาหารเป็นด้วยหรือข้าไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยท่านคงไม่ได้คิดจะวางยาข้าใช่มั้ย"
เมื่อจบประโยคของจื่อรุ่ยหลินเฟิงถึงกลับกั้นขำแทบตายเพราะเด็กน้อยคนนี้ไร้เดียงสาเสียจริงแต่ก็คงผ่านมรสุมชีวิตมาเยอะถึงได้หวาดระแวงเช่นนี้ หรือไม่คงจะเป็นตัวของเธอเองที่ไม่เคยประพฤติตัวดีๆกับเด็กสาวคนนี้เลยนั่นทำให้เธอยิ่งหวาดระแวงทุกการกระทำที่จางหมิ่นทำให้เธอ
ไม่นานหรงเหยาก็กลับมาพร้อมชายหน้าตาที่โมโหโกรธาจางหมิ่นก่อนหน้านี้และชายชราหลังค่อมที่สูงเพียงหน้าอกของเจี้ยนหยีเท่านั้น
ก่อนที่ชายทั้งสามคนจะเดินมานั่งล้อมโต๊ะกินข้าวเก่าๆที่หากลมพัดก็คงจะหักพังจนหมดเป็นแน่จางหมิ่นเอาถ้วยดินต้มรากบัวให้จื่อรุ่ยตักกินเองหลังจากที่เห็นว่าอาการของเธอเริ่มดีขึ้นแล้ว
มือเรียวสวยเริ่มจัดแจงถ้วยดินเผาไว้ข้างหน้าชายวัยต่างกันทั้งสามคนอย่างพร้อมเพรียงแม้นจะมีความกังวลอยู่ในใจบ้างว่าอาหารในถ้วยนี้จะมีพิษ
แต่พอมองไปที่สาวน้อยจื่อรุ่ยที่ตักกินอย่างเอร็ดอร่อยก็ทำให้พอจะวางใจได้สักหน่อยว่าอาหารนี้น่าจะปลอดภัย
ชายทั้งสามคนก็ลองกินอาหารในถ้วยดินดูชายแก่ถึงกลับน้ำตาเอ่อไหลลงอาบแก้ม จางหมิ่นเริ่มเป็นกังวลว่าชายชราจะแพ้รากบัวหรือป่าว
แต่เจี้ยนหยีที่ได้กินไปสองถึงสามคำและสังเกตเห็นสีหน้าเป็นกังวลของหลินเฟิงจึงบอกกับเธอเบาๆ
"ท่านพ่อไม่ได้เป็นอะไรเพียงแต่รสชาตินี้คล้ายที่ท่านแม่เคยทำให้กินก่อนจะล่องเรือเพื่อไปทำการค้าแต่พอท่านแม่จากไปก็ไม่เคยได้ลิ้มรสนี้อีกเลย และสระหลังบ้านก็เป็นสระบัวของท่านแม่ ท่านพ่อตัดใจขายไม่ได้จึงต้องขายเรือสินค้าแทนเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้"
ชายหนุ่มเจี้ยนหยีอธิบายหน้าตายแต่น้ำเสียงเขาถึงราบเรียบไม่มีวอนลุ่มจนน่ากลัวเเต่หญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แฝงในน้ำเสียงของชายหน้าตายผู้นั้น
ตัวเธอเองถึงจะอยากรู้อยากเห็นแต่ก็ไม่กล้าถามอะไรมากเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยจะดี
"พี่สะใภ้ใหญ่หลินเฟิงอาหารยังเหลืออีกรึไม่ขอรับ"
เสียงหรงเหยาถามอย่างกล้าๆกลัวๆ และสัมผัสได้จากแววตาที่หวานเยิ้มและเป็นประกายของหนุ่มน้อย หรงเหยา หลินเฟิงก็เพียงแต่ฉีกยิ้มจางๆบนริมฝีปากให้นาง
"อยู่ในหม้อดินที่ครัวไฟไปตักเอาเถอะน่าจะเหลืออยู่ระวังด้วยนะมันร้อน"
หลงเหยาเมื่อได้ยินแบบนั้นก็รีบวิ่งเข้าครัวไฟทันทีเขาดูมีความสุขมากๆกับรสชาติใหม่ที่ได้รับเขากินแต่เห็ดจืดๆจนลิ้นแทบตายแล้ว
เขาตั้งหน้าตั้งตาตักจนน้ำต้มกระเด็นลวกมือจนร้องลั่นแต่ก็ไม่ได้หยุดความพยายามที่จะได้ลิ้มรสชาติหวานละมุนอีกครั้งพอได้น้ำต้มรากบัวแล้วก็กลับไปที่โต๊ะกินข้าวดังเดิม
ซึ่งตอนนี้การกินกำลังดำเนินต่อไปเงียบๆทุกคนไม่ได้พูดจากันแต่ก็รู้ว่ามีความสุขมากนี่เป็นคืนแรกและมื้อแรกที่ได้อิ่มท้องอย่างสมบูรณ์
สาวน้อยจอมแก่นอย่างจื่อรุ่ยก็รู้สึกรักใคร่หลินเฟิงขึ้นมาเสียแล้วถึงนางจะไม่ได้ไว้ใจอย่างสุดซึ้งก็ตาม แต่อย่างน้อยๆความสัมพันธ์ของเธอและสาวน้อยจื่อรุ่ยคงจะดีขึ้นมาสักหน่อย
หลังจากที่ทุกคนอิ่มดีแล้วน้ำชาดีบัวก็ถูกรินลงใส่แก้วใบเล็กที่ทำจากต้นไผ่ก่อนจะวางไว้ต่อหน้าทุกคน
"ชาดีบัวเจ้าค่ะบำรุงร่างกาย"
หลินเฟิงพูดอย่างอ่อนโยน และเริ่มจิบชาถึงมันจะไม่ขมมากหน้าเธอก็แอบเปลี่ยนเล็กน้อย
"ไม่คิดว่าเจ้าจะทำอาหารเป็น"
ชายสูงวัยเอ่ยปากชมเป็นครั้งแรก หลังจากที่เข้ามาที่นี่เขาพูดอะไรไม่ออกเลยเพราะรสชาติที่ทำให้ความทรงจำต่างๆในอดีตได้หวนคืนกลับมาอีกครั้ง
เธอเพียงยิ้มให้ชายชราจางๆเพียงเท่านั้นและไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป
หลังจากที่ทุกคนอิ่มท้องกันแล้วอีกทั้งเวลาตอนนี้ก็ล่วงเข้ายามห้ายเข้าไปแล้วจึงแยกย้ายกันไปนอน หลินเฟิงต้องนอนกับเจี้ยนหยีตามประเพณีสามีภรรยาปกติทั่วไป
ในห้องที่มืดพอแต่สลัวๆฟางกระจัดกระจายเต็มห้องมีแสงนวลของดวงจันทร์เล็ดเข้ามาในนี้บ้างพอแต่รำไรชายหนุ่มนั่งลงที่มุมห้องหลังพิงฝาและไม่เข้าใกล้เธอเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อหลังถึงฝาดวงตาคู่นุ่มลึกเหมือนทะเลสีเทาอันกว้างใหญ่ของเขาก็ปิดลงอย่างรวดเร็วเหมือนกลัวว่าหลินเฟิงจะทำอะไรไม่ดีไม่งามกับตนอย่างใดอย่างนั้น
"เจ้าจะนอนก็นอนเถอะอีกเพียงไม่กี่เค่อก็คงยามจื่อแล้วดึกมากแล้ว ในเมื่อวันนี้เจ้าสามารถลุกขึ้นมาเด็ดหญ้าได้พรุ่งนี้ข้าก็จะพาเจ้าขึ้นเขา"
เจี้ยนหยีพูดขณะหลับตาแต่มันก็ทำให้สาวน้อยหลินเฟิงใจเต้นตึกตัก เธออยากเห็นว่าป่าที่อยู่หลังต้นไม้ยืนต้นตายไกลๆที่เธอเห็นเมื่อกลางวันจะเป็นอย่างไรคงแห้งแล้งมากแน่ๆ หญิงสาวจินตนาการจนผล็อยหลับไปในที่สุด
รอรุ่งอรุณที่เธอจะได้เดินทางขึ้นเขาอย่างใจจดใจจ่อแม้นในฝันเธอก็ยังเก็บไปนึกคิด แม้นจะมีเสียง"โครม!" ดังแว่วเข้ามาในฝันบ้างตาม ก็มันเป็นดวงจิตสุดท้ายของเธอก่อนจะมาอยู่ที่นี่ก็ไม่แปลกหรอกที่จะมีแว่วมาบ้าง
ภาพเธอที่ค่อยๆ เดินเข้าไปในป่าลึกเริ่มปรากฏบนความคิดของเธอชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
"จางหมิ่นลูกรักลูกอยู่ที่ไหนได้ยินเสียงแม่มั้ยลูก"
เสียงของหญิงวัยกลางคนดังแว่วมาจากในป่าหญิงสาวกระวนกระวายตามหาเสียงนั่นทันทีที่ได้ยินแต่คงไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอคิดเพราะเสียงนั้นดังมาจากทุกทิศทุกทางจนเธอไม่สามารถที่จะจับต้นชนปลายได้เลยว่าตรงไหนคือที่มาของเสียง
"จางหมิ่นลูก แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน กลับมาหาแม่เถอะนะลูกรัก"
เสียงนั้นยังคงดังอยู่ในห้วงความคิดของหลินเฟิงไม่สิแค่อยู่ในร่างหลินเฟิงแต่นั่นคือความคิดของจางหมิ่นต่างหากเธอกำลังหลงทางในฝัน
ก่อนที่ภาพทุกอย่างในหัวจะมืดและดับไปทิ้งให้จางหมิ่นหลงทางในความฝันอันน่าค้นหานั้นและลึกลับนั้น
ตอนนี้ร่างกายของหลินเฟิงเหงื่อตกเป็นเม็ดลงบนฟางทั่วร่างกายน้ำตาค่อยๆไหลลงจากแก้มนวลราวลูกพลับสุกที่ปิดสนิทของเธอ