บทที่ 4 ชีวิตที่แสนน่าเบื่อ
แสงแดดแก่ๆของยามเว่ยส่องกระทบแผดเผาร่างบางของสาวน้อยหลินเฟิง ที่นอนขนาบราบบนโขดหินข้างสระบัว หญ้าสูงรอบสระบังเรือนร่างของสาวน้อยจนมิด
เหตุเพราะบัดนี้ผู้คนในบ้านได้ขึ้นเขาเพื่อไปในป่าลึกที่จะหาของป่ามาไว้ทำอาหารเย็นเสียจนหมดแล้วเหลือเพียงร่างเล็กที่ถูกทิ้งไว้เฝ้าบ้านราวกับลูกหมา
เหตุเพราะความคิดมากมายที่อยู่ในใจแม้แสงแดดจะร้อนหญิงสาวก็ลืมความร้อนไปจนสิ้นเหลือเพียงความคิดยิ่งใหญ่ของเธอที่จะทำอย่างไรให้เม็ดบัวในสระนำมาขายสร้างกำไรให้กับครอบครัวนี้ได้
"อืม.. แดดร้อนขนาดนี้แต่บัวก็ยังอยู่ได้คาร์บอนในน้ำคงจะสูงมากแน่ๆอีกทั้งค่า ph คงจะสูงตาม"
"แต่หากให้แสงแดดส่องลงมาแต่พอดีล่ะ?"
จางหมิ่นครุ่นคิดว่าหากจะสร้างซุ้มบังแดดให้ส่องเข้ามาได้แต่เพียงพอดีกรดในน้ำก็จะน้อยลงแล้วเม็ดบัวก็จะไม่เหี่ยวเร็วและฝาด
กว่าเม็ดบัวจะฝาดก็คงมีเวลาพอที่เธอจะสามารถเก็บเม็ดบัวเหล่านี้เข้าไปขายอยู่ในตัวตำบลไข่โจวที่ตั้งอยู่ใกล้ๆบ้านพระเอกก็ได้อยู่ ให้พอได้หาทุนได้สักนิดจะได้ซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูก แต่จะซื้ออะไรมาปลูกล่ะ? ในเมื่อดินก็แห่งกรังได้ขนาดนี้ตัวเธอเรียนจบหมอนะไม่ได้เรียนจบเกษตรกร
ความคิดของจางหมิ่นแล่นอยู่ในหัวของหลินเฟิงอย่างต่อเนื่องหญิงสาวเอาแต่ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้สภาพการเป็นอยู่ดีขึ้น
ก่อนที่ร่างกายเล็กๆจะลุกพลวดขึ้นเหมือนกับระบบในร่างกายทำงานผิดพลาดและถูกไวรัสกัดกินจนรวนนั้นเป็นเพราะเธอคิดบางอย่างได้แล้ว
"ในเมื่อที่นี่มีหญ้าแห้งยืนต้นสูงมากมายหากจะเกี่ยวไปสานเป็นหลังคาของซุ้มครอบสระบัวนี้ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นดีเลยทีเดียวนะเนี่ย"
หญิงสาวคิดได้ดังนั้นก็ลุกยืนวิ่งผลุนผลันเข้าไปในบ้านเพื่อจะไปหาอุปกรณ์มาเกี่ยวหญ้าแต่สิ่งที่ดวงตาใสๆของหลินเฟิงพอจะมองเห็นได้มีเพียงขวานผ่าฟืนเก่าๆที่บิ่นจนไม่คิดว่าจะสามารถผ่าอะไรได้แล้วแม้จะเป็นเพียงกระดาษบางๆก็ตาม
'หลินเฟิงเป็นคนเกียจคร้านอีกทั้งยังเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ไม่แปลกที่เธอจะทำตัวให้คนอื่นเกลียดได้มากขนาดนี้'
จางหมิ่นทำได้เพียงเดินกลับไปก่อนจะใช้มือเรียวๆเล็กๆของเธอลงแรงเด็ดหญ้าไปได้ไม่กี่ต้นก็โดนหญ้าบาดนิ้วเสียแล้ว
จางหมิ่นถึงได้รู้ความลับอีกอย่างของหลินเฟิงเจ้าของร่างนี้เมื่อเลือดสีชมพูใสๆไหลออกมาจากนิ้วของเธอ อย่างที่ควรจะเป็นสีแดงสดก็ตามแต่หากแต่เป็นสีแดงใสก็พอเข้าใจว่าหลินเฟิงเป็นคนเลือดจาง แต่นี่เป็นสีชมพูใสอันตรายมากแน่ๆ
มือเรียวอีกข้างเอื้อมไปดึงเศษผ้าเก่าๆซีดๆที่เธอนำมาใช้เป็นริบบิ้นผูกผมมาพันแผลเสียก่อนเลือดจะไหลหมดตัวตอนนี้เลือดของเธอก็จางมากหากยิ่งไหลไม่หยุดจางหมิ่นได้ตายรอบสองแน่ๆ
แต่เธอก็ยังคงที่จะเก็บและดึงหญ้าต่อไปเพราะจางหมิ่นในวัยเด็กลำบากกว่านี้มากเรื่องแค่นี้ถือว่าพอสบายสำหรับเธอแล้ว
เธอเก็บไปเรื่อยๆจนแสงเเดดยามเว่ยเปลี่ยนเป็นแสงแดดยามโหย่วและดวงอาทิตย์ก็ใกล้ที่จะถูกกลืนกินลับขอบฟ้าไปแล้วเช่นเดียวกัน
มือเรียวเริ่มที่จะอ้าแขนกอบโกยเอาหญ้าทั้งหมดที่เธอสามารถเด็ดได้วันนี้ขึ้นมาไว้บนแขนแล้วจึงเดินทุลักทุเลเข้าไปในบ้าน
"หญ้าขนาดนี้คงได้เพียงหลังคาซุ้มแผ่นบางๆแผ่นเดียว"
ร่างอรชรหอบหญ้าเข้ามากองไว้ข้างๆกองฟืนบัดนี้ครอบครัวของเจี้ยนหยีรวมทั้งตัวเขาก็ลงจากเขาแล้วพอถึงบ้านก็เห็นว่าหลินเฟิงหญิงสาวแสนเกียจคร้านไปเด็ดหญ้ามากมายทำให้ทุกคนประหลาดใจยิ่งนัก
สายตาสี่ดวงถูกจับจ้องมาที่เธออย่างจับผิดและไม่ไว้ใจในหัวพวกเขาคงจะคิดว่าเธอกำลังวางแผนทำเรื่องสกปรกอีกตามเคย
"ไม่ใช่ว่าพี่สะใภ้ใหญ่นางวางแผนที่จะเผาบ้านหรือขอรับท่านพ่อ"
เสียงเด็กหนุ่มหรงเหยาพยายามยุยงพ่อของตนแต่ชายชราก็เพียงแต่มองอยู่อย่างนั้นหนวดเคราสีเงินถูกพัดตามแรงลมอ่อนๆที่กำลังจะเป็นจากฤดูคิมหันต์เป็นฤดูสารทในอีกเพียงไม่กี่วัน
"พี่ใหญ่ดูพี่สะใภ้สิคงวางแผนจะเผาเรือนนี้แล้วกระมังนางจะได้กลับบ้านนางไป"
หรงเหยายังคงเปล่งวาจาเสียดสีหลินเฟิงแต่ตัวของเจี้ยนหยีกลับไม่ได้พูดจาแก้ต่างให้แต่อย่างใดเหตุเพราะตัวเจี้ยนหยีนั้นก็ไม่ได้ใคร่แม่นางผู้นี้สักเท่าไหร่หากจะเป็นตัวเขาหมายปองแม่นางซูหรานที่เพียบพร้อมไปด้วยหน้าตาและสติปัญญา
ถึงตัวของของอ้ายตงหยางบิดาของนางจะเคยสัญญากับพ่อของเจี้ยนหยีเอาไว้ว่าหากเจี้ยนหยีอายุพลันเข้า18หนาวแล้วเขาจะยกลูกสาวให้เจี้ยนหยีเลือกนางนึงแต่เพราะตัวของแม่นางอ้ายอี้เหมยนั้นออกเรือนเป็นชายาองค์ชาย8ของราชวังเฟยเจินแล้วซ้ำยังมีอายุมากกว่าถึงสองขวบปี
จึงเหลือเพียงซูหรานกับหลินเฟิงให้เขาได้เลือกเขาเลือกแม่นางซูหรานแต่เจ้าตัวกลับไม่อยากแต่งกับเขาสุดท้ายตัวของตงหยางเองก็ไม่สามารถมอบลูกสาวคนรองที่เป็นแก้วตาดวงใจและเพียบพร้อมไปเสียทุกด้านมาให้เขาได้จริงๆ
จึงยกอ้ายหลินเฟยลูกคนสุดท้องให้เขาแทนตัวหลินเฟิงผู้นี้มีหลายสิ่งที่เขารังเกียจแต่กระไรก็แต่งเข้ามาในแซ่ของเขาแล้วจำต้องคุ้มครองเธอ
แต่เขาพอจะรู้มาว่าหลินเฟิงผู้นี้แม้จะเป็นคนเกียจคร้านแต่เธอก็มีความสามารถด้านการค้าอยู่ไม่น้อยเพราะวาจาของเธอมักจะสะกดจิตผู้คนได้ราวกับว่าแม่นางผู้นี้สามารถสัมผัสลมปราณและความคิดของผู้อื่นได้
หากไม่ใช่เพราะความเกียจคร้านวันๆไม่ทำอะไรทำเพียงนั่งอยู่หน้ากระจกอ้ายตงหยางก็คงหอบหิ้วเธอไปเจรจาค้าขายด้วยทุกหนแห่งเป็นแน่
ตัวของเจี้ยนหยียกตะกร้าไม้ไผ่ที่ขึ้นเขาไปหาของป่าวันนี้ได้มาวางไว้ที่โต๊ะไม้ไผ่ตอกพอแต่ใช้ได้ซึ่งเป็นโต๊ะตัวดีกันที่ใช้วางสำหรับเมื่อเช้านี้
จางหมิ่นเห็นจึงเดินไปดูพบเพียงตะกร้าเปล่าๆ ไม่มีอะไรในนั้นเลยตัวสาวน้อยจึงได้แต่อ้าปากค้าง ที่วันนี้ครอบครัวนี้คงต้องอดอีกแล้วเป็นแน่
"ดูอะไร ดูให้ได้อะไร มันไม่มี อะไรให้เจ้ากินทั้งนั้นแหละ "
เสียงเด็กสาวหานจื่อรุ่ยพูดออกมาอย่างอารมณ์เสียขณะเห็นหลินเฟิงพี่สะใภ้ที่เธอไม่เคยชอบขี้หน้าเลยเดินไปดูที่ตะกร้าของพี่ชายคนโต
เสียงท้องของเจี้ยนหยีคำรามแต่เขามองเธอหน้าตายเหมือนเขาไม่ได้รู้สึกหิวโหยหรือรู้สึกอะไรเลย
"วันๆเกียจคร้านไม่ทำอะไรสักอย่างเจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นคุณหนูตระกูลสูงอยู่รึไงกัน เจ้าแต่งเข้ามาในตระกูลเราแล้วเจ้าเป็นฮูหยินของพี่ชายข้าทำไมเจ้าถึงทำตัว'ไร้ประโยชน์'ขนาดนี้"
ด้วยความโมโหหิวของจื่อรุ่ยเธอก็เปล่งวาจาที่คิดออกมาจนหมดไม่มีคำใดๆ กักไว้ส่วนตัวของหลินเฟิงที่จะด่ากลับตลอดตอนนี้เธอเพียงยืนเงียบๆ ไม่พูดจา
'ไร้ประโยชน์งั้นเหรอ.. อืมก็จริง ' จางหมิ่นคิดครวญในใจคำพูดโดยไม่ยั้งของน้องสาวสามีกรทันหันเธอพูดจี้ใจดำเธอเช้าเสียแล้ว เธอหันหลังกลับพลันก้าวย่างขาเล็กๆของเธอตรงไปทางสระบัว
น้ำตาไหลเอ่อจนล้นเบ้าแก้มนวลราวลูกซาลาเปาก็ชื้นไปด้วยน้ำตาที่ไหลรินราวกับเขื่อนทะลักลงมาจากแววตาคู่สวย
มือเรียวเล็กค่อยๆสาวเอารากบัวอ่อนๆขึ้นมาหลายรากเธอคิดว่าตอนค่ำแล้วค่าคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำก็จะลดลงแล้ว
มือสาวไปน้ำตาก็ไหลอาบแก้มไปสาวน้อยหลินเฟิงสาวและออกแรงหักขึ้นมาสองถึงสามราก