บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 คนไร้ค่า

จางหมิ่นในร่างของสาวน้อยหลินเฟิงนั่งพินิจดอกบัวและสระบัวอยู่ครู่ใหญ่ราวๆหนึ่งก้านธูปเห็นจะได้พลันก็หมุนเม็ดบัวรสฝาดไปมาในมือเรียวยาว

"เม็ดบัวนี้ดูเหี่ยวเร็วจังทั้งๆที่พึ่งเด็ดขึ้นมา"

ร่างบางพึมพำก่อนที่ฟันซี่สวยจะค่อยๆบรรจงลงที่เนื้อเม็ดบัวอีกครา มันมีรสชาติดีขึ้นนิดหน่อยดีบัวก็ไม่ขมมากเหมาะยิ่งกับการนำไปทำอาหาร

หากแต่ทว่าเม็ดบัวนี้คงมีค่าคาร์บอนไดออกไซด์สูงในน้ำเนื่องจากแดดร้อนและสภาพอากาศที่แห้งแล้งแต่ก็ดูขัดแย้งที่สระน้ำแห้งนี้น้ำใสอีกทั้งดอกบัวยังบานสะพรั่งเต็มสระอีก

"คนเขียนนิยายเล่มนั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ถึงได้สร้างให้ออกมาย้อนแย้งขนาดนี้"

เธอไม่ครุ่นคิดเพียงอย่างเดียวมือเรียวของเธอยื่นไปคว้าก้านใบบัวก้านหนึ่งและหักมัน'แกร๊ก'ใบบัวก้านนั้นถูกมือเรียวยาวหักพลันสอดส่องดูในข้อต่อที่ถูกหักเมื่อสักครู่อย่างใคร่รู้ใคร่เห็น

และสิ่งที่เธอได้พบก็เป็นที่น่ายินดีและประหลาดใจนักเหตุเพราะก้านบัวทั่วไปหากถูกหักจะมีใยๆคล้ายคลึงกับใยแมงมุมบางๆยาว

แต่หากสิ่งที่เธอพบคือในใยบัวเป็นช่องลึกโหลมีเนื้อหุ้มขาวๆเป็นเส้นอยู่รอบภายในก้านของใบเบาอย่างสม่ำเสมอและยาวสั้นเท่าๆ กันเพียงแต่ภายนอกของก้านบัวไม่ได้ปูดโปนตามเส้นที่ถูกตรึงอยู่ภายในแต่อย่างใด

เส้นนี้คงมีไว้ลำเลียงน้ำขึ้นไปเลี้ยงใบแต่เหตุใดจึงได้เป็นเส้นไม่ใช่ว่าเป็นรูๆเหมือนรูจมูกหลายๆ อันมีมัดๆ รวมกันหรอกหรือ?

ด้วยความสงสัยที่ยังไม่หมดไปจางหมิ่นก็พยายามที่จะหาเหตุผลมายืนยันสิ่งที่เป็นไปในระแวกนี้ว่าเหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้

"แม่นางเหตุใดท่านจึงไปนั่งอยู่ข้างริมน้ำเช่นนั้นหากพลัดตกลงไปหัวทิ่มในน้ำเป็นพิษร้ายแรงเช่นนั้นถึงตายเลยนะ แม่นางรีบขึ้นมาเสียเถิด"

เสียงหญิงแก่ๆ ถือไม้เท้ายืนอยู่อีกฟากของสระบัวหญิงคนนั้นแม้นจะมาเตือนแต่กลับมีท่าทีไม่น่าไว้ใจดวงตาดูดุกร้าว ผิวเนื้อหุ้มกระดูก สวมเสื้อเก่าๆราวกับไม่เคยได้ซักมาหลายปี อีกทั้งยังเปื่อยขาดรุ่ยราวกับผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลาย 'ศตวรรต'

เธอหมุนตัวมองพลันลุกพลวดอย่างรวดเร็วขาเกือบจะพลาดร่วงลงไปในสระบัวแล้วแต่ก็มีมือหนึ่งมาฉุดหญิงสาวเอาไว้

"เจ้ามาทำอะไรที่นี่?"

ทันทีที่จางหมิ่นประคองร่างของหลินเฟิงให้ยึดได้แม้ไม่มั่นคงมือของชายผู้นั้นก็ปล่อยจากเธออย่างไร้ปรานีสาวน้อยเกือบหงายหลังร่วงลงสระบัวไปอีกคราก่อนจะทันได้เห็นหน้าบุรุษผู้นั้นชัดเจนเสียอีก

แววตานุ่มลึกเฉียบคมของชายผู้นั้นจ้องมาที่เธอราวกับไม่กินเส้น มันเหมือนพยายามหั่นเธอให้กลายเป็นชิ้นเนื้อหากเธอเผลอขยับตัว

"ข้า.. ข้ามา.. ข้ามานั่งเล่น"เธอตอบไปและยังคงแทนตนด้วยคำว่า'ข้า'อย่างที่เคยใช้แทนกับเด็กหนุ่มก่อนหน้านี้แต่ชายผู้นี้อายุราวๆ18แล้วไม่ใช่หนุ่มน้อย13-14ปี ยิ่งร่างกายกำยำไม่ได้ดูผอมเกร็งเก้งก้างราวๆกับคนขาดสารอาหารแต่หากออกกำลังกายบ่อยๆ

อยู่ในชุดที่เก่าปอนถูกเย็บปะจนไม่สามารถบอกได้ว่าเนื้อผ้าเดิมเป็นเช่นไรแต่พอจะดูจากเคล้าโคลงชุดก็พอจะนึกได้ว่าเป็นฮั่นฝูแบบดั้งเดิม

"คงจะเป็นเจี้ยนหยีสินะแต่ทำไมดูรังเกียจหลินเฟิงราวกับว่าเธอเป็นเชื้อโรคโควิดก็ไม่ปาน"จางหมิ่นคิดทบทวนแต่อากาศแห้งแล้งกันดารขนาดนี้เชื้อโควิดคงอยู่ไม่ได้

หญิงสาวร่าางบางยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเจื่อนๆเธอทำตัวไม่ถูกเมื่อโดนสายตาคู่นั้นจ้องมองดูเหมือนว่าหัวใจเธอจะเต้นเสียแล้ว

"ฉันต้องทำยังไงคำนับเหรอ.. รึ.."

ในใจของจางหมิ่นเริ่มอยู่ไม่สุขเเละออกอาการลนลานเพื่อที่จะออกจากสถานการณ์อึดอัดนี้แต่หญิงสาวก็ไม่รู้ว่าควรจะออกมายังไงดีในเมื่อสายตาของชายหนุ่มปล่อยรังสีอาฆาตออกมาเต็มบรรยากาศ

เหงื่อเธอตกจากอาการกังวลสาวน้อยจางหมิ่นมักจะรู้สึกประหม่าหากเธอโดนจ้องมองตัวอีกฝ่ายก็เหมือนจะสังเกตเห็น

"ประหม่าทำไมเจ้ากับข้าไม่ได้เจอกันครั้งแรกสักหน่อย"เสียงชายหนุ่มตรงหน้าพูดอย่างคาดโทษเธอแต่เธอตัดปัญหาด้วยการนั่งลงริมสระบัวดังเดิม

"เจ้าหูหนวกรึไงข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ"

"ไม่ได้หูหนวกแต่คุณพูดอะไรต้องการอะไรฉันไม่รู้เรื่อง" แย่ละหลุดพูดภาษายุคเราสะอย่างนั้นทำไงดีเจี้ยนหยีเป็นคนฉลาดเขาต้องสงสัยเป็นแน่ จางหมิ่นที่ตอนนี้ทุกคนเห็นเธอในรูปหน้าตาของหลินเฟิงก็ยกมือขึ้นทาบริมฝีปาก

มือหนาของชายหนุ่มชุดจีนหน้างามคว้าหมับเข้าแขนของเธออย่างแรงและเขาเริ่มออกแรงบีบจางหมิ่นรู้สึกเหมือนกับกระดูกของหลินเฟิงกำลังจะแตกร้าว

"สู้เลยเจ้าห้ามยอมแพ้นะ"เสียงเล็กๆดังขึ้นในห้วงความคิดของเธอ แต่เดี๋ยวก่อนเธอจะสู้ยังไงในเมื่อเธอไม่มีอาวุธหรือใดๆเลย

ในขณะที่เธอเอาแต่คิดไม่ลงมือทำอะไรเสียทีน้ำตาเม็ดใสๆค่อยๆ พรั่งพรูขึ้นเอ่อล้นดวงตาคู่งามนุ่มลึกราวท้องสมุทร

มือหนาสะบัดมือเรียวออกอย่างไม่ไยดีจนเธอเกือบจะหงายหลังลงไปที่สระบัวปริศนาด้านหลังของเธอ

"ท่านพ่อให้ข้ามาตามเจ้าไปกินข้าวหน้าเช่นนี้ปล่อยให้อดตายเสียก็ดีกินไปก็เปลืองเนื้อกระต่ายเปลืองผักเปลืองหญ้าเสียเปล่า"

หลังพูดจบชายที่จางหมิ่นคิดว่าคงเป็นเจี้ยนหยีก็สะบัดชายผ้าเก่าๆหันหลังย่างก้าวกลับไปทันที ตัวเธอเองก็คงต้องเดินตามเขาไปก่อนนั่นแหละ

จางหมิ่นเงยหน้าขึ้นฟ้าถอนหายใจก่อนจะก้าวย่างตามเขาไปพบชายแก่ดูมีอายุจางหนวดเคราอีกทั้งเส้นผมสีเงินตลอดทั่วหนังหัว รอยย่นบนใบหน้าที่เกิดจากความตึงเครียดมากกว่าความแก่ปรากฏชัดเจน

อีกทั้งขนาบสองข้างของชายวัยชราก็มีเด็กหนุ่มที่จางหมิ่นเห็นก่อนหน้านี้รวมถึงเด็กสาวด้วยที่นั่งอยู่ข้างๆชายสูงวัยอีกฝั่งกับเด็กหนุ่มคนนั้น

จางหมิ่นค่อยๆยื่นก้นนั่งลงบนขอนไม้ที่ถูกนำมาเป็นเก้าอี้ไว้สำหรับนั่งกินข้าว

สายตาของเธอพลันเหลือบมองอาหารบนโต๊ะก็คลายสงสัยทันทีว่าเหตุใดร่างกายของแต่ละคนในครอบครัวนี้จึงได้ซูบผอมแห้งกรังราวกับคนขี้โรค

"อาหารเหล่านี้กินไม่ได้คุณค่าทางโภชนาการต่ำมากๆ และเห็ดป่าชนิดนี้ก็กินไม่ได้มันเป็นพิษหากกินเข้าไปบ่อยๆพิษก็จะเข้าไปสะสมในร่างกายและก่อให้เกิดภาวะหลายอย่างตามมาอย่างเช่นภาวะหัวใจล้มเหลว ที่ถึงตายได้เลย"

จางหมิ่นที่ทุกคนเห็นเป็นหลินเฟิงอธิบายเสียงใสแต่สี่พ่อลูกก็มองหน้ากันอย่าง งงงวย

"เจ้ากล่าวว่าอันใดนะแต่มันก็คืออาหารที่ยื้อชีวิตเจ้ามาทุกวันแล้วเหตุใดมาบอกว่ามีพิษ?"

เสียงชายแก่ผมเงินรุงรังแต่งตัวดูสกปรกถามหญิงสาวกลับมาเพราะเขาฟังไม่รู้เรื่องคำที่รู้เรื่องก็ไม่เข้าใจเห็นแต่จับใจความได้เพียงแค่ว่า'อาหารมีพิษ'

"ใช่ไหมเจ้าคะท่าพ่อนางต้องเป็นผีแน่ๆเลยท่านพ่อข้าฉลาดที่สุดนางกลับแสร้งรู้"

เสียงเด็กสาวที่นั่งข้างๆพูดจาเห็นดีเห็นงามประจบพ่อของตนเพื่อให้ตนได้ไปเที่ยวเล่นอย่างเช่นที่ตนขอพ่อไว้ก่อนหน้านี้

"จื่อรุ่ยหยุดเลียขาข้าได้แล้วยังไงข้าก็ไม่ให้เจ้าไป"

หลังจากที่ชายสูงวัยผอมเนื้อติดกระดูกพูดจบหญิงสาวก็ทำหน้าเง้างอนเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอถึงกับกลั้นขำไว้ไม่อยู่

"ท่านพ่อรู้ด้วยเหรอเจ้าคะว่าข้าเลียขา"

เด็กสาวถามเสียงพึมพำแต่ชายเครายาวรุงรังเพียงแต่ส่ายหัวเบาๆจากการเอือมระอาลูกสาวของตนอย่างหนักใจเห็นจะมีเพียงเจี้ยนหยีที่นั่งคีบผักกินเงียบๆไม่พูดไม่จา

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel