บท
ตั้งค่า

บทที่3 คนไข้ของคุณหมอ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก เคาะประตูสามครั้งอย่างมีมารยาท

“เชิญครับ” เจ้าของห้องเอ่ยอนุญาต รดารีบเปิดประตูเข้าไปด้านในโดยไม่ทันสังเกตป้ายที่ติดอยู่ประตูหน้าห้อง

“ทานข้าวหรือยัง” ประโยคทักทายที่เจ้าของห้องเอ่ยขึ้นโดยที่สายตายังจ้องอยู่ที่แฟ้มเอกสารตรงหน้า

“ทานแล้วค่ะ เอ่อ..คือว่า หนู..หนูกลับบ้านได้ไหมคะวันนี้” รดาเอ่ยถามออกไปกล้าๆ กลัวๆ มือเรียวเล็กที่ประสานกันอยู่หน้าขาบัดนี้กำเข้าหากันแน่น

“อยากกลับแล้วเหรอ ไหนเมื่อวานบอกว่าถ้าหมอหล่อยอมป่วยนอนโรงพยาบาลหลายวันยังได้” กองทัพแกล้งแซวสีหน้าเรียบนิ่ง มือยังตวัดปลายปากกาเซ็นเอกสารไม่หยุด

“เอ่อ..แต่หนูไม่ได้เป็นอะไรแล้วนี่คะ จะให้นอนโรงพยาบาลทำไม อีกอย่างหนูก็ต้องไปเรียนด้วยวันนี้ก็ขาดเรียนวันหนึ่งแล้ว” รดาพยายามอธิบายเหตุผล ถึงเธอจะไม่ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลครั้งนี้เองแต่ก็ไม่ควรมานอนอยู่ให้คนอื่นสิ้นเปลืองแบบนี้ทั้งที่มันไม่ได้มีความจำเป็นอะไร

“พรุ่งนี้ค่อยกลับบ้าน นอนที่นี่อีกสักคืนแผลบวมที่หัวยังไม่ยุบเลย” กองทัพให้คำตอบกลับไป รดาที่ได้ยินถึงกับทำหน้าผิดหวัง

“ค่ะ”

เมื่อได้รับคำตอบแล้วจึงหันหลังเพื่อเดินกลับห้องไป แต่ก็ต้องหยุดชะงัก

“ถ้าเบื่อก็อ่านหนังสือ ในตู้มีหนังสือเกี่ยวกับบทความเรื่องการบริหารธุรกิจอยู่ลองไปเลือกดู” ปกติถ้าเป็นเด็กทั่วไปต้องเอาขนมหรือของกินล่อ แต่สำหรับรดามีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถหลอกล่อเธอได้..นั่นคือหนังสือ ยิ่งเป็นบทความเกี่ยวกับเรื่องการบริหารธุรกิจแล้ว ให้นั่งอยู่เฉยๆ ทั้งวันพร้อมกับหนังสือกองโตเธอก็ไม่ปริปากบ่นว่าเบื่อสักคำ

“จริงเหรอคะ หนูหยิบมาอ่านได้จริงเหรอ” จากตอนแรกที่ทำหน้าหงอยๆ ตอนนี้ดูตื่นเต้นราวกับคนละคน

“นั่งอ่านเงียบๆ อย่าเสียงดังก็พอ ผลไม้กับขนมอยู่ในตู้เย็นในห้องเปิดประตูเข้าไปหยิบมาทานได้เลย หรืออยากเข้าไปอ่านในห้องก็ได้” ในห้องทำงานของกองทัพมีห้องนอนห้องใหญ่อีกห้องที่ทำไว้เวลาที่ทำงานดึกๆ แล้วขี้เกียจกลับคอนโดก็จะนอนที่นี่ ซึ่งในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบทุกอย่าง

“ขอบคุณค่ะ รดานั่งอ่านตรงนี้ก็ได้ค่ะ” เท้าเล็กเดินไปยังมุมห้องที่มีชั้นเล็กๆ ตั้งอยู่และมีหนังสือวางอยู่สี่ห้าเล่ม ส่วนใหญ่จะเป็นบทความหรือวารสารของนักธุรกิจเก่งๆ ต่างประเทศ สายตาไปสะดุดเข้ากับรูปถ่ายที่อยู่ในกรอบรูปราคาแพงวางตั้งอยู่ คนในรูปเป็นใครไม่ได้นอกจากคุณหมอเจ้าของห้องแต่สิ่งที่สะดุดสายตานั้น คือวิวตึกด้านหลังซึ่งเป็นที่เดียวกันกับรูปที่รดาเคยได้รับจากคนแปลกหน้าใจดีให้ไว้เป็นที่ระลึกเมื่อ5ปีก่อน

“อยากไปเที่ยวที่นั่นเหรอ” กองทัพสังเกตเห็นว่าเด็กสาวยืนมองรูปนั้นอยู่นานจึงเอ่ยถามขึ้น

“คุณหมอไปเที่ยวมาเหรอคะ”

“เปล่า ผมเคยไปเรียนหมอที่นั่น” รูปที่กองทัพถ่ายขณะที่เรียนแพทย์อยู่ที่โปรแลนด์

“นานหรือยังคะ”

“น่าจะ5ปีได้นะ ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นคลินิกปีสุดท้ายพอดี ก่อนจะบินไปเรียนต่อ Fellow(แพทย์เฉพาะทาง) ที่อเมริกา” รดายืนนิ่งอย่างคนกำลังคิดอะไรสักอย่างอยู่ในหัว ก่อนจะดึงสติตัวเองกลับมาสนใจหนังสือตรงหน้า

กองทัพนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะสลับกับมองเด็กสาวเป็นระยะ แฟ้มเอกสารมากมายที่วางกองอยู่บนโต๊ะตอนเช้าถูกเคลียร์ออกไปบางส่วน ยังเหลืออีกสิบกว่าแฟ้มที่กองทัพต้องเคลียร์ให้เสร็จ ตามตารางงานวันนี้ชายหนุ่มต้องเข้าบริษัทแต่เพราะติดคนไข้คนสำคัญจึงสั่งเลขาให้เอาเอกสารมาให้ที่โรงพยาบาล

“รดา เที่ยงแล้วทานข้าวจะได้ทานยา” เด็กสาวกำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ขนาดแม่บ้านที่เปิดประตูนำอาหารเข้ามาจัดขึ้นโต๊ะเธอยังไม่รู้สึกตัว

“ค่ะ ขออีก5นาทีนะคะ หนูขออ่านหน้านี้ให้จบก่อน” เด็กสาวในชุดคนไข้ยังสนใจหนังสือในมือ กลิ่นหอมของอาหารที่โชยไปทั่วห้องยังไม่สามารถเรียกความสนใจจากเธอได้ นั่งอ่านหนังสือมาจะสามชั่วโมงติดไม่มีแม้แต่จะลุกไปเข้าห้องน้ำ

“รดา ลุกมาทานข้าวก่อน หนังสือพวกนั้นค่อยอ่านต่อก็ได้” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกเป็นครั้งที่สอง ร่างอรชรจำต้องวางหนังสือในมือลง ลุกขึ้นสาวเท้าเดินตรงไปยังโซฟาที่มีชายหนุ่มนั่งรออยู่ก่อน พร้อมกับอาหารน่ารับประทานอยู่เต็มโต๊ะ

“หนูขอแค่5นาที ทำไมคุณหมอต้องดุด้วยคะ” สะโพกเล็กกระแทกนั่งลงโซฟา ใบหน้าเรียวเล็กง้ำงอเล็กน้อยเอ่ยถามเสียงกระเง้ากระงอด

“ผมเรียกคุณครั้งแรกตอนเที่ยงห้านาที ตอนนี้เที่ยงสิบห้านาทีกับอีกสามสิบวิ..ตรงไหนที่บอกว่าแค่ห้านาที” กองทัพตอบกลับเสียงเรียบเน้นเสียงประโยคสุดท้าย พร้อมกับลงมือทานข้าวโดยมีเด็กสาวนั่งหน้างอไม่พอใจอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ดุจังเลยนะ อยากรู้จริงๆ ว่าเวลาอยู่กับแฟนจะดุแบบนี้ไหม” รดาบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว สายตาคมเข้มตวัดขึ้นมอง ริมฝีปากบางหุบเข้าหากันทีเมื่อโดนดุครั้งที่สองทางสายตา มือเรียวเล็กยื่นไปหยิบแอปเปิลเข้าปากและเบนสายตามองไปทางอื่น

“กินข้าวก่อน แล้วค่อยกินผลไม้” กองทัพดุเป็นครั้งที่สาม

“กินอะไรก่อน ก็ไปรวมกันอยู่ในท้องเหมือนกันนั่นแหละค่ะ” รดาเถียงกลับทันควัน

“ทำไมเดี๋ยวนี้เถียงเก่งจัง”

“คุณหมอพูดเหมือนเราเคยรู้จักกันมาก่อนเลยนะคะ”

“รีบกินข้าวรดา เพื่อนคุณมารออยู่ที่ห้องแล้ว” ก่อนหน้าเขาได้รับสายจากเจ้าหน้าที่ด้านล่างโทรมาแจ้งว่ามีคนมาขอเยี่ยมคนไข้พิเศษของเขา จึงสั่งให้ขึ้นมารออยู่บนห้องเพราะตอนนี้ได้เวลาทานอาหารเที่ยงพอดี ขืนปล่อยให้ไปเจอเพื่อนตอนนี้มีหวังคุยกันเพลินข้าวปลาไม่ได้กินกันพอดี

“เพื่อนหนูมาแล้วเหรอคะ ทำไมคุณไม่บอกหนูล่ะคะ” รดาถามกลับอย่างร้อนรน

“ทานข้าวทานยาให้เสร็จก่อน แล้วค่อยออกไป” เสียงเรียบสั่งปนดุออกไป ทำให้เด็กสาวที่กำลังตั้งท่าจะลุกต้องนั่งกลับลงที่เดิม

รดานั่งลงทานข้าวต่อย่างเงียบๆ กุ้งแม่น้ำทอดกระเทียมตัวใหญ่ถูกแกะโดยฝีมือคุณหมอหนุ่ม ตักมาวางบนจานของเด็กสาว

“หนูไม่ทานไข่นะคะ เดี๋ยวแผลจะเป็นแผลเป็น” ไข่เจียวปูคำโตถูกเขี่ยไปไว้ด้านข้างจานโดยไม่นึกเสียดายเนื้อปูก้อนโตแม้แต่น้อย

“เอาความคิดนี้มาจากไหน ไข่ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้เกิดคีลอยด์ แต่ไข่มีโปรตีนช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างหาก ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือน้ำตาล คาเฟอีน อาหารที่มีไนเตรทสูง” กองทัพอธิบายให้เด็กสาวฟังอย่างละเอียด เพราะจะได้ไม่เข้าใจผิดๆ แบบนั้นอีก

“เข้าใจแล้วค่ะ คุณหมอ..” รดาตอบกลับลากเสียงยาวพร้อมกับตักไข่เจียวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ

“หนูทานข้าวทานยาเสร็จแล้ว ไปได้หรือยังคะ” รดาเอ่ยถามขึ้นเมื่อวางแก้วน้ำลงหลังทานยาเสร็จ

“เชิญครับ..คนไข้”

“ขอบคุณค่ะคุณหมอ แล้วหนังสือเล่มนั้นหนูขอเอากลับไปอ่านต่อที่ห้องได้ไหมคะ” ฝีเท้าเล็กหยุดชะงัก เอี้ยวตัวหันกลับมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าลืมสิ่งสำคัญไว้

“ถ้าอยากอ่านก็มาอ่านที่นี่” รดาทำหน้าผิดหวังเล็กน้อย เดินกระทืบเท้าไม่พอใจออกจากห้องไป

“งอนเก่งชะมัด” กองทัพถึงกับส่ายหัว นั่งบ่นอยู่คนเดียวเมื่อคนตัวเล็กก้าวเท้าพ้นขอบประตูห้องออกไป

แอ๊ด……

“สวัสดีพวกแก มานานหรือยัง” รดาเอ่ยทักทายกลุ่มเพื่อนที่นั่งดูทีวีรออยู่โซฟาห้องรับแขก

“นานมากค่ะชะนี นึกว่าไปกินข้าวที่ฝั่งธน” เป็นเชอรี่ที่ตอบกลับเสียงดัง

“นี่ก็รีบมากแล้ว ไหนบอกว่ามาบ่ายไงนี่พึ่งเที่ยงเองนะ”

“อาจารย์ยกคลาส แล้วนี่แกไปกินข้าวที่ไหนมา ทำไมเขาไม่ยกข้าวมาส่งแกที่ห้อง โรงพยาบาลก็ดูใหญ่โตหรูหราทำไมถึงให้คนไข้เดินไปกินข้าวเอง..ฉันล่ะงง” เชอรี่บ่นออกไปเมื่อมาแล้วไม่เจอเพื่อน ดีนะที่เขาอนุญาตให้เข้ามานั่งรอในห้องได้

“ปกติเขาก็เอามาส่งที่ห้องแหละ แต่พอดีฉันอ่านหนังสืออยู่ห้องคุณหมอเขาเลยยกไปส่งที่โน่น” รดาตอบกลับเพื่อนตามความจริงเพราะไม่อยากให้เพื่อนเข้าใจผิด ทางโรงพยาบาลจะเสียหายเอา

“ฮะ! อะไรนะ แกไปอ่านหนังสือที่ห้องคุณหมอแล้วแกก็นั่งกินข้าวกับหมอที่ห้องของหมอ” ทุกคนอุทานร้องเสียงหลงจนรดาเองก็ตกใจ

“ทำไมพวกแกต้องเสียงดังขนาดนั้น นี่ฉันพูดอะไรผิด”

“แกเป็นคนไข้ แล้วทำไมถึงไปนั่งอ่านหนังสือในห้องหมอได้ ที่สำคัญคนไข้กับหมอเขานั่งทานข้าวด้วยกันหรือไง แกรู้จักเขามาก่อนเหรอรดา” เชอรี่ถามขึ้นอย่างแปลกใจ จ้องหน้ารดาเพื่อเอาคำตอบ

“หมอแก่โรคจิตหรือเปล่าแก หลอกคนไข้ไปทำมิดีมิร้ายในห้องตัวเอง” ระหว่างที่เพื่อนๆ ต่างพากันจินตนาการไปต่างๆ นานา เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“รดา คุณลืมหยิบผลไม้มาด้วย” กองทัพในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสแลคสีดำเดินถือจานผลไม้เข้ามาในห้อง มือหนาวางจานผลไม้ลงบนโต๊ะท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองไปยังชายหนุ่ม

“เอ่อ..พวกแก นี่คุณหมอเธียรวิชญ์ เป็นคุณหมอที่ช่วยรักษาฉัน” รดารีบเอ่ยแนะนำทันทีเพราะเพื่อนๆ มัวแต่จ้องหน้าชายหนุ่ม

“สวัสดีค่ะคุณหมอ” ทุกคนต่างพากันยกมือไหว้คุณหมอที่อายุเยอะกว่าอย่างมีมารยาท

“สวัสดีครับ ผมขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะครับ” เมื่อพูดจบกองทัพก็หันหลังเดินเปิดประตูกลับออกไปทันที

“ชะนี หมอหล่อขนาดนี้ทำไมแกไม่บอกพวกฉัน ปล่อยให้พวกฉันใส่ร้ายเขาตั้งนาน”

“แล้วพวกแกปล่อยให้ฉันอธิบายหรือเปล่าล่ะ เอาแต่มโนไปต่างๆ นานา” รดาว่าให้เพื่อนก่อนจะหยิบสตอเบอรี่สีแดงสดเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย

“แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ดูจากผลไม้จานนี้แล้ว แกกับหมอต้องมีซัมติงอะไรบางอย่างแน่นอน”

“แกรู้จักเขาเหรอรดา” เพื่อนๆ ต่างพากันรัวคำถามใส่รดากันใหญ่

“เปล่า แต่คุ้นๆ เหมือนเคยรู้จักที่ไหน แต่ฉันจำไม่ได้” รดาเองก็คุ้นเสียงชายหนุ่มเหมือนกันแต่พยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออก

“แล้วแกได้ถามคุณหมอหรือเปล่า ว่าเขาเคยรู้จักแกหรือเปล่า”

“ถามแล้ว เขาบอกว่าถ้าฉันจำไม่ได้ก็แสดงว่าไม่เคยรู้จัก”

“เออ..รดา แล้วใครจ่ายค่าโรงพยาบาลให้แก ดูจากห้องพักแล้วราคาต่อคืนคงหลายหมื่น” อิงเอยถามขึ้นเพราะห้องพักระดับนี้น่าจะตกคืนละหลายหมื่นเพื่อนเธอคงไม่มีเงินจ่าย แค่ลำพังหาเงินส่งตัวเองเรียนก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด

“คุณหมอบอกว่า คู่กรณีฉันเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดน่ะ” คำตอบของรดาเมื่อเพื่อนทุกคนได้ฟังต่างสบายใจ เพราะก่อนหน้านั้นก็พากันเครียดว่าเพื่อนจะไม่มีเงินจ่าย

“คู่กรณีแกรวยมากเหรอ รถที่เฉี่ยวแกเป็นรถอะไร”

“รถเก๋งธรรมดานะ ตอนแรกเขาบอกว่าเขาไม่ค่อยมีเงิน รถมอเตอร์ไซค์ฉันเขายังขอผ่อนค่าซ่อมคืนให้ทีหลังเลย แต่พอฉันมาถึงโรงพยาบาลคุณหมอกลับบอกฉันว่าคู่กรณีรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ฉันเองก็ยังงงอยู่” รดาเองก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็สงสารคู่กรณีเหมือนกันที่ต้องหาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เธอ

“ไม่ต้องสงสัยค่ะชะนีทั้งหลาย เชอรี่คนสวยจะหาคำตอบให้เอง”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel