ตอนที่ 7 : ฉีจื่อหราน 1/2
ตอนที่
[4]
ฉีจื่อหราน
สุดท้ายเมื่อเห็นว่าบิดาเกลียดชังและไม่ชอบใจในบุตรสาวคนเล็ก ผู้เป็นมารดาก็ยิ่งพลอยไม่ชอบใจบุตรสาวเข้าไปด้วย รวมถึงพี่น้องคนอื่น ๆที่เริ่มห่างเหิน สุดท้ายพวกเขาก็คงจะลืมไปแล้วว่านางเป็นน้องสาวคนสุดท้องของพวกนาง แต่ที่จริงที่เหล่าพี่สาวไม่ชอบนางนั้นก็มีสาเหตุอื่นอยู่ ในตอนเด็กนางไม่รู้แต่ยิ่งโตมากลับมองได้ชัดขึ้น
เรื่องราวทั้งหมดนี้ที่นางได้รับรู้ก็เป็นเพราะแม่นมที่เลี้ยงดูนางได้ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ให้ฟัง คงเพราะสงสารเด็กน้อยที่ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดบิดามารดาจึงเอาแต่เมินเฉยใส่ พี่น้องคนอื่นก็ไม่พูดด้วย แม่นมเป็นคนเดียวที่นางสามารถพูดคุยด้วยได้ ซึ่งแม่นมผู้นั้นก็ดันมาเสียในตอนที่นางอายุเจ็ดหนาว ในตอนนั้นเองที่นางถูกย้ายมาอยู่เรือนปัจจุบันที่ห่างจากเรือนของพี่น้องคนอื่น โชคดีที่ไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีอ้ายมี่หลานสาวของแม่นมผู้นั้นอยู่ด้วย แต่จะว่าโชคดีก็ไม่ถูก เด็กน้อยที่อายุน้อยสองคน แม้อยู่ในจวนขุนนางใหญ่ แต่ก็ราวกับเด็กกำพร้าสองคนที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ทำสิ่งใดก็ล้วนลำบาก
นางไม่เคยได้รับความรักจากบิดามารดา โดยเฉพาะมารดาที่ดูเหมือนจะเกลียดชังนางขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหลังจากที่บิดาหายจากอาการโรคบุรุษเขาก็รับอนุเข้ามาเพิ่มอีกหลายคน แทนคนเก่าที่ไล่ออกจากจวนไปจนหมดเพราะติดโรค ด้วยยามนั้นบิดาแวะเวียนไปนอนกับพวกนางทุกคน
วันหนึ่งมารดาเข้ามากล่าวกับนางด้วยความคับแค้นใจว่า หากนางเกิดมาเป็นบุรุษตนเองก็ไม่ต้องทนทุกข์เช่นนี้ และตัวของนางก็คงไม่ต้องพบเจอกับเรื่องเหล่านี้ ต้องโทษนางที่เกิดมาเป็นสตรีเอง
แล้วนี่มันใช่ความผิดของนางที่ใดกัน ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
ชีวิตของเด็กน้อยในจวนตระกูลฉี กว่าจะมีชื่อนามฉีจื่อหราน ยามนั้นก็เป็นตอนที่เด็กน้อยอายุได้หกเดือนแล้ว เพราะพวกเขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านางยังไม่มีชื่อจากการท้วงติงของแม่นม จึงได้ตั้งชื่อให้ แต่การตั้งชื่อก็ตั้งให้ไกลจากพี่น้องคนอื่นมากที่สุด เวลาต่อมามิใช่แค่ชื่อที่ไกล ใจของเด็กน้อยก็เริ่มห่างไกลจากครอบครัวขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
แต่ไม่รู้เป็นเวรกรรมของบิดาหรืออย่างไร ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร อนุเหล่านั้นก็ไม่ตั้งครรภ์เสียที แต่เขาก็ยังคงพยายามต่อไป ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะกลับมาหลับนอนกับท่านแม่แล้ว ท่านแม่จึงได้พยายามเอาอกเอาใจเขาอย่างถึงที่สุด แม้กระทั่งวันนี้ที่อยากให้นางเป็นผู้กระทำผิดเพื่อเอาอกเอาใจบิดา
หึ มารดาแบบใด
และสิ่งที่พวกเขากระทำต่อนางในอดีตไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ ความร้ายแรงมันเริ่มต้นนับจากนี้
วันหนึ่งในวังมีการประกาศว่าให้ขุนนางตั้งแต่ขั้นห้าขึ้นไปสามารถพาครอบครัวเข้าร่วมเฉลิมฉลองต่อความสำเร็จของชินอ๋องที่สามารถปราบกองกำลังแคว้นชิ่งที่พยายามจะบุกเข้าชายแดนแคว้นมาเนิ่นนานหลายปีจนสำเร็จ ซึ่งบิดาของนางเป็นขุนนางขั้นสามเจ้ากรมราชวงศ์จึงสามารถเข้าร่วมงานได้ กล่าวว่าพาครอบครัว ส่วนมากก็มักจะเป็นบุตรสาวบุตรชายที่เกิดจากฮูหยินเอกด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งนางก็มีสิทธิ์ที่จะได้ไปงานนี้เช่นกัน
แต่ด้วยความที่นางนั้นถูกตัดขาดให้ห่างเหินจากครอบครัวมานาน จึงไม่ได้สนใจและไม่คิดที่จะไปงานด้วยซ้ำ แต่หากเป็นพวกเขาเหล่าพี่น้องของนางที่กังวลไปเองจึงได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับมารดา มารดาผู้นั้นที่รักบุตรสาวคนอื่นและเกลียดชังนางยิ่งกว่าสิ่งใด ก็รีบร่วมกันหาทางออกกับบุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนทั้งสี่ทันที
และที่พวกเขาหวาดหวั่นหนักหนานั่นก็เพราะว่ารูปโฉมของนางนั้นโดดเด่นจากหมู่พี่น้องหลายขุมนัก จนกลัวว่าความงามนี้จะไปเตะตาโดนใจผู้ใดเข้า โดยเฉพาะคนที่พวกนางหมายปอง!!
ใช่ เหล่าคุณหนูตระกูลฉีต่างก็หวังจะได้พบเจอและดึงความสนใจคนใหญ่คนโตจากงานนี้ทั้งเชื้อพระวงศ์และคุณชายตระกูลใหญ่ของแคว้นตี้ ซึ่งหากว่านางไปก็กลัวว่าจะมีอันใดผิดพลาด พวกเขาคิดว่านางน่ากลัวถึงเพียงนั้น และนี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่เหล่าพี่น้องทำตัวห่างเหินจากนางและบิดามารดาก็ออกคำสั่งเด็ดขาดที่ทำให้นางไม่ได้ออกจากจวนตระกูลฉีอยู่แต่ในเรือนน้อยที่ห่างไกลผู้คนเช่นนี้มาหลายปี
ก่อนวันงานมาถึงนางได้รับรายงานจากอ้ายมี่ว่าหลานชายห่าง ๆ ของมารดาได้เดินทางมาที่เมืองหลวงเพื่อมาร่ำเรียนการค้ากับปราชญ์ผู้หนึ่งในเมืองหลวง จึงได้มาพักที่จวนตระกูลฉีเป็นการชั่วคราว
นางไม่ได้สนใจอันใดจนกระทั่งเมื่อวันงานมาถึง ในช่วงปลายยามเซินที่เห็นเหล่าพี่น้องและบิดามารดาแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหราขึ้นรถม้าไป ยังคงเป็นอ้ายมี่ที่บอกนางว่าพวกเขาไปที่ใดกัน ในใจไม่ได้อิจฉาเพียงแค่คิดว่านางถูกทิ้งอีกแล้วก็เท่านั้น
ตกเย็นนางก็ทำอาหารและกินอาหารกับอ้ายมี่เป็นปกติ จากนั้นก็ชำระกายและเตรียมจะเข้านอน
ท่ามกลางรัตติกาลอันมืดมิด จู่ ๆ นางและอ้ายมี่ก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ที่ด้านนอกเรือน อ้ายมี่จึงอาสาออกไปดู แต่จนแล้วจนรอดผ่านไปกว่าหนึ่งเค่อสาวใช้คนสนิทก็ไม่กลับมา จนกระทั่งนางเห็นว่ามันดูผิดปกติ จึงได้คิดที่จะออกไปดู แต่ทว่าในจังหวะที่เปิดประตูเรือน จู่ ๆ ก็มีมือลึกลับเอื้อมเข้ามาและคว้าตัวนางเอาไว้ก่อนจะลากเข้าไปในเรือนอย่างไม่ปรานีปราศรัย!!
นับจากนั้นช่วงเวลาราวกับตกอยู่ในขุมนรกก็เกิดขึ้น!!
นางไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดจนกระทั่งได้ยินเสียงกระชากเปิดประตูอย่างแรงพร้อมเสียงกรีดร้องของสตรี
“กรี๊ดดดดดดดด น้องหกนี่เจ้าทำอันใด”
แม้ว่าภาพตรงหน้าจะไม่ชัดเจนแต่จากแสงภายนอกที่ลอดวงประตูเข้ามานางก็เห็นว่าผู้นั้นคือพี่ห้าของนาง นอกจากนั้นยังมีสมาชิกในบ้านคนอื่น ๆ ที่มองมาที่นางที่หน้าประตู
“บัดสี ออกมาข้างนอกเดี๋ยวนี้!!” พร้อมเสียงเกรี้ยวกราดของบิดาที่สั่งให้นางออกไป