บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3

มาร์ติเนซรู้ว่าสราวลีไปหาถึงมหาวิทยาลัยแต่ไม่เจอตัวเอง เขาจึงขับรถมาหาหญิงสาวที่บ้านพักในเมืองไทย

“สวัสดีครับคุณน้า...” ชายหนุ่มกล่าวทักทายมารดาของสราวลี ก่อนจะมองหาหญิงสาว

“วลีกำลังอาบน้ำอยู่น่ะ นั่งก่อนสิพ่อมาร์ต” วนาลีระบายยิ้มให้ว่าที่ลูกเขย

“ขอบคุณครับ”

“แล้วนี่เป็นไงมาไงล่ะ แวะมาเสียค่ำเลย”

“พอดีผมเพิ่งทราบว่าน้องวลีไปหาที่มหา’ลัยน่ะครับ แล้วก็ไม่เจอกัน ผมก็เลยแวะมาหาที่นี่”

วนาลีทำสีหน้าแปลกใจ “อ้าว ไม่เจอกันหรอกเหรอ ไหนแม่วลีบอกว่าเจอกันแล้ว และพ่อมาร์ตก็เลือกของชำร่วยแล้วด้วย”

มาร์ติเนซส่ายหน้าน้อยๆ “คงจะเข้าใจผิดกันน่ะครับ ผมน่าจะติดสอนอยู่ แล้วตอนน้องวลีโทรหา ก็ไม่ได้รับสาย”

วนาลีระบายลมหายใจออกมา ก่อนจะพูดขึ้น “ว่าแล้วเชียวหน้าตาลูกสาวของน้าถึงได้เศร้าหมองแปลกๆ แต่น้างงว่าทำไมจะต้องปดว่าเจอพ่อมาร์ตแล้วด้วย”

คราวนี้เป็นมาร์ติเนซบ้างที่ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ บางอย่างอึดอัดอยู่ภายในใจ

“น้องวลีคงไม่อยากจะเจอหน้าผมสักเท่าไหร่หรอกครับ”

“ไม่ใช่หรอกพ่อมาร์ต แม่วลีก็ทำเป็นปากเก่งไปอย่างนั้นแหละ เห็นตอนจะออกไปยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิงเลย พอไม่เจอก็เลยหน้าเศร้ากลับมานั่นแหละ”

มาร์ติเนซไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก นอกจากนั่งยิ้มบางๆ และหยิบถุงใส่ตัวอย่างของชำร่วยออกมาเปิดดูทีละชิ้น

“พ่อมาร์ตลองเลือกดูนะ ว่าชอบแบบไหน”

“ผมตามใจน้องวลีครับ”

“ก็ลองเลือกดูก่อน เผื่อจะใจตรงกันไง”

วนาลีคะยั้นคะยอยิ้มเกลื่อนใบหน้า แทบไม่เหลือร่องรอยความเจ็บปวดให้เห็นอยู่อีกเลย

“ครับ”

มาร์ติเนซนั่งเลือกอยู่ไม่นานก็หยิบตุ๊กตาคู่รักขึ้นมามองและอมยิ้มน้อยๆ วนาลีที่ลอบมองอยู่จึงเอ่ยถาม

“ชอบเหรอพ่อมาร์ต”

มาร์ติเนซพยักหน้ารับ “ครับ น่ารักดีครับ ชายแก่กับหญิงเฒ่า”

“รู้ความหมายของมันหรือเปล่าล่ะ”

คนตัวโตส่ายหน้าน้อยๆ แต่ก็พูดออกไป “ผมไม่แน่ใจความหมาย แต่ถ้าให้ผมเดา ผมว่ามันน่าจะสื่อถึงความรักที่มีให้กันจนแก่เฒ่า”

“นั่นแหละถูกต้อง” วนาลียิ้มกว้าง “สรุปพ่อมาร์ตชอบของชำร่วยชิ้นนี้ใช่ไหมจ๊ะ”

มาร์ติเนซอมยิ้มให้กับตุ๊กตาคู่รักในมืออีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยตอบว่าที่แม่ยายของตัวเอง

“ครับ”

“รู้ไหมว่าพ่อมาร์ตใจตรงกับแม่วลีมาก เพราะแม่วลีก็เลือกชิ้นนี้เหมือนกัน” วนาลียังคงยิ้มไม่หุบ “เนื้อคู่กันก็แบบนี้แหละเนอะ จะชอบอะไรคล้ายๆ กันหมด”

มาร์ติเนซระบายยิ้มบางๆ ยังไม่ทันได้ตอบอะไรออกไป เสียงสราวลีก็ดังขึ้นเสียก่อน เขาหันไปมอง

“เราไม่ใช่เนื้อคู่กันสักหน่อยค่ะคุณแม่”

“แม่วลี อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ”

คนเป็นแม่หันไปเอ่ยถาม ก่อนจะมองหน้าบูดบึ้งของลูกสาวด้วยความเอือมระอาใจ เจอหน้ามาร์ติเนซทีไร ไม่เคยเลยที่สราวลีจะสลัดปลาทูแม่กลองออกไปจากใบหน้าได้สักที

“ค่ะ”

“ดีเลย งั้นก็มานั่งคุยกับพ่อมาร์ตตรงนี้เถอะ”

สราวลีเผลอสบประสานสายตากับมาร์ติเนซ เขาหล่อจนหล่อนรู้สึกว่าไม่อาจจะแตะต้องได้ในชีวิต เพอร์เฟกต์จนผู้หญิงต้องร้องขอชีวิตเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ๆ หัวใจของหล่อนเต้นแรงเสมอยามที่อยู่ใกล้เขา ลมหายใจของหล่อนคล้ายกับจะหมดไปจากปอดเพียงแค่ดวงตาคมกล้าตวัดมองมา

หล่อนหลงรักเขาเป็นบ้าเป็นหลัง เป็นนังง่อยที่ใช้สิทธิ์การคลุมถุงชนเพื่อให้ได้ครอบครองเขา แม้ว่าจะได้แค่เพียงสิทธิ์จากทะเบียนสมรสก็ตาม

ภูมิใจ...ไม่เลย ไม่มีความรู้สึกนั้นเลย...

สราวลีน้ำตาตกใจ แต่ก็จำต้องกลบเกลื่อนมันด้วยความเย็นชาว่างเปล่าของตัวเอง

“วลีไม่ว่างค่ะ”

“พี่เขาอุตส่าห์แวะมาหา อย่าเสียมารยาทสิแม่วลี”

“ก็วลีไม่อยากเจอหน้าเขานี่คะ” หล่อนหันหน้าหนี และใช้สองมือเข็นล้อรถเข็นให้ออกไปในอีกทิศทางหนึ่ง มาร์ติเนซจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปขวางหน้า

“พี่เพิ่งรู้ว่าวลีไปหาพี่ที่มหา’ลัย”

คำพูดดูแคลนของผู้หญิงปากแดงราวกับเพิ่งดื่มเลือดสดๆ มาคนนั้นมันยังทิ่มแทงอยู่ภายในอกของหล่อนตลอดเวลา

“ก็แค่แวะไปให้เลือกของชำร่วยน่ะค่ะ”

“พี่น่าจะติดสอนอยู่”

“ค่ะ” หล่อนตอบห้วนๆ ก่อนจะขอทาง “หลีกทางค่ะ วลีจะไปในสวน”

มาร์ติเนซไม่ยอม เขาเดินอ้อมมาหยุดด้านหลังรถเข็น และเริ่มต้นเป็นฝ่ายควบคุมมันเสียเอง

“พี่จะพาไป”

“ไม่ต้องค่ะ วลีไปเองได้”

หล่อนขัดขืนโวยวาย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจหล่อนเลยสักคน เพราะแม้แต่แม่ของหล่อนเอง ยังนั่งนิ่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ที่เห็นหล่อนถูกเข็นออกมา

“พอแล้วค่ะ ทิ้งวลีไว้ตรงนี้แหละ”

มาร์ติเนซเดินอ้อมไปหยุดตรงหน้ารถเข็น เมื่อเข็นเจ้าหล่อนออกมายังสวนที่เจ้าตัวต้องการแล้ว จากนั้นก็ย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้าของตัวเองและมองหน้าหวานนิ่ง

“ทำไมจะต้องอารมณ์เสียด้วย หน้าพี่มีอาหารบูดๆ ติดอยู่หรือไง”

หล่อนมองค้อนเขา กลีบปากอิ่มเม้มแน่นเป็นเส้นตรงจนแดงช้ำ มาร์ติเนซรีบปราม

“อย่ากัดปากแบบนั้นสิ ช้ำหมด”

“มันเรื่องของวลี”

ยิ่งเขาห้ามหล่อนก็ยิ่งทำ ดังนั้นมาร์ติเนซจึงตัดสินใจโน้มหน้าเข้าไปหา และจูบปากอิ่มเย็นชืดนั้นทันที คนตัวเล็กบนรถเข็นตกใจเบิกตากว้าง ผงะศีรษะจะหนี แต่มือใหญ่สอดรองใต้ท้ายทอยเอาไว้ ตรึงศีรษะของหล่อนให้อยู่กับที่และยอมให้เขาบดจูบตามอำเภอใจอย่างไร้ทางหลีกหนี

หญิงสาวหลับตาลงช้าๆ ค่อยๆ ปล่อยตัวเองให้ซึมซับไปกับความนุ่มระคนกระด้างของริมฝีปากหยักสวยของมาร์ติเนซ มันเป็นจูบแรกของหล่อน และหล่อนก็ยินดีเหลือเกินที่เสียมันให้กับชายที่แอบรัก

เนิ่นนานจนแทบละลาย ราวกับกำลังเริงระบำอยู่ในทุ่งดอกไม้บนสรวงสวรรค์ ปีกผีเสื้อจำนวนนับล้านตัวกระพืออยู่ภายในช่องท้อง มือเล็กที่ผลักไส ยามนี้ไต่ขึ้นไปอยู่บนบ่าทรงพลัง และค่อยๆ โอบรอบลำคอแกร่งเอาไว้ในที่สุด

จูบนุ่มนวลอ่อนหวานค่อยๆ ทวีความเร่าร้อนรุนแรงขึ้นเมื่อมาร์ติเนซเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ปากกระด้างจึงกดลึกลงมาหาสุดแรง ขยี้จนปากอิ่มบวมช้ำ ก่อนจะสอดแทรกลิ้นสากเข้าไปหา เจ้าหล่อนเบิกตากว้างตกใจ ก่อนจะโอนอ่อนผ่อนตามในวินาทีต่อมาอย่างว่านอนสอนง่าย จูบหวานฉ่ำจึงเกิดขึ้นอย่างเนิ่นนาน จนกระทั่งมาร์ติเนซผงะออกห่างพร้อมกับระบายลมหายใจออกมาแรงๆ

“อย่ากัดปากอีกนะ”

หล่อนหน้าแดงก่ำ สติค่อยๆ ย้อนหวนคืนมา และมันก็ทำให้อับอายจนแทบไม่อยากเอาใบหน้าตั้งไว้บนบ่า หล่อนมองเขาอย่างกล่าวหา น้ำตาแทบหยด

“พี่มาร์ตไม่มีสิทธิ์มาทำกับวลีแบบนี้นะคะ”

ต่อว่าเขาไป แต่หัวใจยังคงเต้นตึกตัก ร่างกายสาวเบ่งบานอย่างน่าอับอาย ความร้อนฉ่าวิ่งวนไปทั่วทั้งตัว จนน่าตื่นตกใจ

“พี่ขอโทษ...แต่ถ้าปากของวลีจะช้ำ ก็ควรช้ำเพราะจูบของพี่ ไม่ใช่เพราะวลีเอาแต่เม้มเอาแต่กัดปากตัวเอง”

หล่อนอึ้งไป ก่อนจะเชิดหน้ามองเขาอย่างแง่งอน

“แล้วมัน...เกี่ยวอะไรกับพี่มาร์ตด้วยล่ะคะ ในเมื่อมันตัวของวลี”

มาร์ติเนซระบายยิ้มบางๆ ดวงตาของเขาสวยงามยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้ายามนี้เสียอีก หล่อนเกลียดตัวเองนักที่มองว่าเขางดงามเสมอ ทั้งๆ ที่เขาร้ายกาจกับความรู้สึกของหล่อนจะตายไป

“เรากำลังจะแต่งงานกัน”

หล่อนคอแข็ง ความเจ็บร้าวจุกอยู่ตรงอก “มันก็แค่การคลุมถุงชนที่พี่มาร์ตปฏิเสธไม่ได้”

เขาเอียงคอมองตาหล่อน ก่อนจะลดสายตามองกลีบปากอิ่มที่ช้ำน้อยๆ ของหล่อนนิ่ง และลอบกลืนน้ำลาย

“เราไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ดูเหมือนว่าวลีจะรู้ใจพี่ไปเสียทุกอย่างเลยนะครับ”

แทนที่เขาจะปฏิเสธแล้วพูดว่าอยากแต่งงานกับหล่อน พูดให้หล่อนดีใจสักนิดก็ยังดี แต่กลับพูดแบบนี้...

สราวลียิ่งน้อยใจ หล่อนละสายตาจากใบหน้าหล่อจัดของเขาและหันไปมองทางอื่น

“ก็เฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียวแหละค่ะ”

มาร์ติเนซถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน เดินออกไปข้างหน้าสองก้าว กอดอกและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำ

“ไม่น่าเชื่อว่าเด็กหญิงช่างอ้อนวันวาน วันเวลาจะเปลี่ยนให้เป็นหญิงสาวที่เอาแต่อารมณ์เป็นที่ตั้งไปได้”

“ก็เพราะวลีไม่ดียังไงล่ะคะ ความจริงตอนนี้พี่มาร์ตก็ยังปฏิเสธงานแต่งทันนะคะ วลีจะยอมรับการตัดสินใจของพี่มาร์ตทุกอย่าง ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงยังไงก็ตาม”

คนตัวโตที่ยืนหันหลังให้อยู่ค่อยๆ หมุนตัวกลับมาและเดินมาหยุดตรงหน้า แสงจากดวงจันทร์เต็มดวงสะท้อนเข้ามาทางด้านหลังของเรือนร่างของมาร์ติเนซ และนั่นก็ยิ่งทำให้เขาดูลึกลับน่าเกรงขามยิ่งขึ้น

“พี่ไม่ใช่คนโลเล อะไรที่ตัดสินใจไปแล้วจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีก พี่หวังว่าวลีคงเข้าใจ”

“ค่ะ วลีเข้าใจ” หล่อนตอบรับเสียงแข็ง พยายามซ่อนความร้าวรานใจเอาไว้สุดชีวิต “และจะเตรียมตัวคืนอิสรภาพให้กับพี่มาร์ตโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ”

“อย่าพูดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เพราะบางทีมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่วลีเข้าใจก็ได้”

หญิงสาวเข็นรถเข็นของตัวเองออกห่างมา หยาดน้ำตาหยดลงอาบแก้ม

“แต่วลีเชื่อว่าตัวเองรู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ขอตัวนะคะ วลีจะเข้าบ้านแล้ว”

“พี่จะไปส่ง”

“ไม่ต้องค่ะ วลีช่วยเหลือตัวเองได้”

เขาไม่ยอมทำตามความต้องการของหล่อน เดินเข้ามาประชิดตัว และช่วยเข็นรถเข็นให้

“อย่าให้วลีพิการทั้งขาและมือเลยค่ะ ให้วลีได้ช่วยตัวเองเถอะ”

คำตัดพ้อเศร้าหมองของสราวลี ทำให้มาร์ติเนซจำต้องปล่อยมือออกจากรถเข็นของหญิงสาว และเฝ้ามองดูเจ้าหล่อนหายเข้าไปในบ้านด้วยสายตามืดลึก

กรามแกร่งขบกันแน่นจนขึ้นสันนูนเป่ง ความอึดอัดในหัวใจกำลังทำให้เขาทรมาน

ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ เดินกลับไปที่รถหรู ตลอดเวลาก็อดนึกย้อนไปถึงอดีตที่ผ่านมาไม่ได้

สราวลีอ่อนเยาว์กว่าเขาเกือบสิบห้าปี ตอนเด็กๆ หล่อนทั้งอ้วนทั้งดำและแสนจะขี้เหร่ นั่นทำให้เขาไม่ค่อยจะเข้าไปสุงสิงกับหล่อนนัก มีแต่หล่อนที่เฝ้าตามติดเขาตลอดเวลา จนกระทั่งอุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้น และมันก็ทำให้เขากับสราวลีห่างเหินกันไปยาวนาน

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เปิดประตูรถและขึ้นไปนั่งหน้าพวงมาลัยรถ ดวงตายังคงจับจ้องเข้าไปภายในตัวบ้านหลังใหญ่ของหญิงสาว เงาตะคุ่มจากผ้าม่านซึ่งเขาจำได้ว่าห้องนั้นคือห้องนอนของหล่อนสั่นไหว ก่อนจะหายไป เขาระบายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะตัดสินใจเคลื่อนรถคันงามออกไปจากหน้าคฤหาสน์หรู

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel