ตอนที่ 2
“คุณหนูรออยู่ในรถเถอะค่ะ เดี๋ยวแสงไปเรียนคุณมาร์ตให้ค่ะว่าคุณหนูแวะมาหา”
แสงแก้วสาวใช้คนสนิทพยายามขอร้องเจ้านายสาวที่นั่งอยู่ภายในรถเอ็มพีวีสีขาวสะอาดตา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล
“ไม่เอาน่ะแสง วลีอยากลงไปหาพี่มาร์ตด้วยตัวเอง”
“แต่ว่า...”
“เอารถเข็นลง วลีจะได้เข้าไปพบพี่มาร์ต”
ความจริงแล้วหล่อนก็ไม่ได้อยากจะเจอหน้าเขานักหรอก แต่เพราะต้องนำของชำร่วยมาให้เขาช่วยเลือก ทำให้ไม่มีทางเลี่ยงการเผชิญหน้าได้
“ก็ได้ค่ะ”
แสงแก้วไม่มีทางเลือกจำต้องทำตามคำสั่งของเจ้านายสาว โดยมีนายผาดคนขับรถมาช่วยกันพยุงสราวลีลงนั่งบนรถเข็น เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย สราวลีก็หันไปสั่งคนของตัวเอง
“ลุงผาดเดินเล่นแถวนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยววลีมา ไม่นานหรอกค่ะ”
“ให้ผมช่วยเข็นเข้าไปไหมครับคุณหนู”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ วลีมีแสงช่วยแล้ว ลุงเดินเล่นเถอะค่ะ” หล่อนระบายยิ้มให้คนขับรถ ก่อนจะหันไปหาแสงแก้ว “แสงเอาถุงใส่ของชำร่วยมาด้วยนะ อยู่ตรงเบาะที่วลีนั่งน่ะ”
“ค่ะคุณหนู” แสงแก้วรีบโน้มตัวเข้าไปในรถ และคว้าถุงกระเป๋าสีสวยติดมือออกมา
“ได้แล้วค่ะ คุณหนู”
“ส่งมา เดี๋ยววลีถือเอง”
แสงแก้วส่งถุงกระดาษใส่ตัวอย่างของชำร่วยให้เจ้านายสาว ก่อนจะเข็นรถเข็นเข้าไปภายในตัวตึกของมหาวิทยาลัยกว้างใหญ่เบื้องหน้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจของตระกูลมหาเศรษฐีมาเลซาสโซ
“คุณหนูติดต่อคุณมาร์ตได้หรือยังคะ”
แสงแก้วเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล เพราะตั้งแต่บนรถแล้วที่สราวลีไม่สามารถติดต่อมาร์ติเนซได้
“ยังเลย โทรไปกี่รอบก็ไม่รับ”
“น่าจะติดสอนอยู่มั้งคะคุณหนู”
หญิงสาวพยักหน้ารับน้อยๆ “คงจะใช่ งั้นแสงพาวลีไปรอพี่มาร์ตที่ห้องทำงานพี่มาร์ตก็ได้”
“ได้ค่ะ แต่ว่าห้องทำงานคุณมาร์ตอยู่ไหนล่ะคะ” แสงแก้วหันรีหันขวางไปมา
“นั่นสิ วลีก็ไม่เคยมาเลย นี่ครั้งแรกเหมือนกัน” เพราะปกติหล่อนมักจะคอยหลบหน้ามาร์ติเนซเสมอ มีครั้งนี้แหละที่เลี่ยงไม่ได้เพราะมารดาออกคำสั่ง
“งั้นคุณหนูรอแสงอยู่ตรงนี้นะคะ เดี๋ยวแสงไปถามนักศึกษากลุ่มนั้นดูค่ะ”
แสงแก้วเข็นรถเข็นที่หล่อนนั่งมาจอดไว้ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่บริเวณใกล้ๆ เต็มไปด้วยโต๊ะหินอ่อนจำนวนกว่าสิบโต๊ะ
“อืม ขอบใจนะแสง”
สราวลีระบายยิ้มน้อยๆ มองร่างของพี่เลี้ยงคนสนิทวัยสามสิบกว่าๆ เดินตรงไปยังกลุ่มนักศึกษาเป้าหมาย แสงแก้วดูแลหล่อนมาตั้งแต่ที่หล่อนประสบอุบัติเหตุใหม่ๆ จนกระทั่งตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบจะสิบปีแล้ว ซึ่งมันทำให้หล่อนกับแสงแก้วผูกพันกันมาก
แสงแก้วดูแลหล่อนดีมาก ไม่เคยขาดตกบกพร่องใดๆ เลย จนหล่อนรักแสงแก้วเสมือนพี่สาวคนหนึ่งเลยทีเดียว
“นี่เธอมาเกะกะอะไรตรงนี้ยะ”
เสียงแหลมๆ ของผู้หญิงบางคนที่ไม่เป็นมิตรเลยดังขึ้นข้างตัว สราวลีละสายตาจากร่างที่อยู่ไกลๆ ของแสงแก้ว เอียงคอเงยขึ้นมองหน้าคนตั้งคำถาม
ผู้หญิงหน้าตาสะสวยแต่แต่งหน้าจัด ยืนมองหล่อนเขม็ง
“ฉันมีธุระกับคนที่นี่ค่ะ”
รวีบงกชหรี่ตาแคบมองผู้หญิงหน้าตาสวยหวานราวกับนางฟ้า แต่น่าเสียดายที่เป็นง่อย
“กับใครไม่ทราบ”
สราวลีเม้มปากแน่น พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้ขึ้นมากไปกว่านี้ “ไม่เกี่ยวกับคุณมั้งคะ”
“นี่เธอ...” รวีบงกชโมโห จ้องหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “บอกมานะว่ามาที่นี่ทำไม มาทำอะไร มาหาใคร”
“ฉันก็บอกแล้วไงคะว่าไม่เกี่ยวกับคุณ”
รวีบงกชมองหน้าคู่กรณีอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะลดสายตามองถุงกระดาษบนตักของสาวพิการตรงหน้า จากนั้นรอยยิ้มเยาะหยันก็แล่นขึ้นมาเต็มใบหน้าสวยๆ เลยทีเดียว
“อย่าบอกนะว่าเธอคือ...” รวีบงกชแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่เลยทีเดียว “เจ้าสาวง่อยของคุณมาร์ตน่ะ”
สราวลีพยายามนับหนึ่งให้ถึงร้อย เพราะไม่งั้นคงได้มีเรื่องกับผู้หญิงที่สวยแต่เปลือกตรงหน้าแน่นอน
“ใช่แล้วทำไมคะ”
“ก็ไม่ทำไมหรอกค่ะ” รวีบงกชตวัดตามองไปทั่วทั้งตัวของสราวลีอย่างดูแคลน “ง่อยๆ แบบนี้จะทำอะไรได้คะ”
“เธอหมายความว่ายังไง”
“ก็หมายถึง...” รวีบงกชยังยิ้มหยันได้น่าตบคว่ำเช่นเดิม “คืนเข้าหอ เจ้าบ่าวคงไม่แตะต้องมั้งคะ”
คำพูดของผู้หญิงตรงหน้ามันยิ่งกว่าคมมีดที่กรีดลงบนกลางหัวใจเสียอีก สราวลีเจ็บลึก แต่ก็พยายามซ่อนมันเอาไว้ให้มิดชิด จากนั้นก็ปั้นรอยยิ้มหยันตอบกลับ
“จะแตะหรือไม่แตะ คุณก็ไม่ต้องอิจฉาหรอกค่ะ เพราะถึงยังไงซะคุณก็ไม่มีวันได้รับสิทธิ์นั้นในชาตินี้ พี่มาร์ตเลือกฉันเป็นเจ้าสาว แล้วเราก็จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต”
รวีบงกชสั่นเป็นเจ้าเข้าด้วยความริษยา แต่ก็ยังไม่คิดจะหยุดโต้ตอบ
“ไม่มีผู้ชายสติดีที่ไหนเลือกผู้หญิงง่อยๆ มาเป็นเมียหรอก ถ้าไม่ถูกบังคับน่ะ”
สราวลีอึ้งไปพูดไม่ออก เพราะคำพูดของผู้หญิงตรงหน้าช่างแทงใจดำเสียเหลือเกิน มันคือปมที่ฝังค้างอยู่ภายในหัวใจของหล่อนตลอดมา
“นั่นมันไม่ใช่เรื่องของเธอ”
รวีบงกชเบ้ปากอย่างมองอย่างเวทนา “ต่อให้สวยหยาดฟ้าแค่ไหน แต่ถ้าง่อยเปลี้ยเสียขา ต้องเอามาดูแลตลอดชีวิตแบบเธอ ไม่เกินสามเดือนฉันคงได้ข่าวหย่าร้างของเธอกับคุณมาร์ตแน่นอน”
“ไม่มีทาง”
“แล้วฉันจะคอยดู อ้อ...ลืมบอกไปนะ ที่นี่น่ะคุณมาร์ตพอปพิวลาร์มากๆ เลย สาวๆ ทั้งมีผัวแล้วและไม่มีต่างจ้องจะงาบคุณมาร์ตกันทั้งหมด ระวังผัวหายเอาไว้ให้ดีๆ เถอะ”
สราวลีแทบสะกดโทสะเอาไว้ไม่อยู่ หล่อนกำมือแน่นจนถุงกระดาษในมือแทบขาด
“รวมทั้งเธอด้วยใช่ไหม”
รวีบงกชไหวไหล่น้อยๆ ระบายยิ้มยั่วโทสะ ก่อนจะตอบรับอย่างไม่สะทกสะท้าน
“แน่นอน หล่อ รวย เซ็กซี่สุดๆ อย่างคุณมาร์ต ผู้หญิงคนไหนมองข้ามก็บ้าแล้วล่ะ”
คนฟังเต็มไปด้วยความโมโห หยาดน้ำตาพานจะซึมขึ้นมาประจานความเสียใจเสียให้ได้ โชคยังดีที่แสงแก้ววิ่งกลับมาหาพอดี
“มีอะไรคะคุณหนู”
สราวลีเม้มปากแน่น “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่พวกหมาเห่าใบตองแห้งน่ะ”
“เธอว่าใคร แม่เจ้าสาวขาเปลี้ย”
รวีบงกชถามอย่างเอาเรื่อง แต่สราวลีเชิดหน้าไม่สนใจ
“แล้วเธอคิดว่าฉันว่าใครล่ะ”
“นี่หล่อน”
“อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นถูกตบแน่”
แสงแก้วรีบเข้ามาขวางเอาไว้ เมื่อเห็นรวีบงกชทำท่าคุกคามเจ้านายสาวของตัวเอง
“นายว่าขี้ข้าพลอย คอยดูเถอะ หม้อข้าวไม่ทันดำหรอก ผัวก็ทิ้ง เชื่อฉันสิ” รวีบงกชหัวเราะสะใจ ก่อนจะสะบัดหน้าหอบตำราสอนเดินจากไป
แสงแก้วย่อตัวลงถามเจ้านายอย่างเป็นห่วง “คุณหนูอย่าไปฟังนังปากแดงมันพล่ามเลยนะคะ เราเข้าไปหาคุณมาร์ตกันเถอะค่ะ แสงรู้แล้วว่าห้องทำงานของคุณมาร์ตอยู่ที่ไหน”
“วลีจะกลับแล้วล่ะแสง”
แสงแก้วเบิกตากว้างตกใจ “ทำไมล่ะคะคุณหนู”
“วลีไม่มีอารมณ์แล้ว อยากกลับบ้าน”
ความเสียใจจากวาจาดูแคลนของผู้หญิงนิรนามคนนั้นทำให้หล่อนเจ็บปวด หล่อนพอจะเดาได้ว่ามาร์ติเนซน่าจะรู้จักกับผู้หญิงคนนี้ในระดับที่ดีเลยทีเดียวแหละ ไม่อย่างนั้นแม่นั่นคงไม่กล้าต่อปากต่อคำกับหล่อนเช่นนี้หรอก
“แต่คุณผู้หญิงสั่งว่าต้องให้คุณมาร์ตช่วยตัดสินใจเลือกของชำร่วยนะคะ”
“ก็บอกไปว่าพี่มาร์ตเลือกแล้ว”
“แต่ว่า...”
“วลีจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง แสงแค่พาวลีกลับบ้านก็พอ”
แม้จะรู้สึกว่างานที่ได้รับคำสั่งมายังไม่สำเร็จ แต่พอเห็นสีหน้าหม่นหมองเศร้าสร้อยของสราวลีแล้ว หล่อนก็อดที่จะสงสารจับใจไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องตามใจเจ้านาย
“ก็ได้ค่ะ งั้นแสงพากลับไปที่รถนะคะ”
“อืม” สราวลีตอบรับสั้นๆ ก่อนจะนั่งนิ่งเงียบไปตลอดเส้นทาง ไม่ว่าแสงแก้วจะชี้ชวนให้ดูอะไร หญิงสาวก็ไม่มีทีท่าจะสนใจหรือใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว
เพราะอย่างนี้ไง...หล่อนถึงไม่เคยเชื่อว่าที่มาร์ติเนซยอมแต่งงานกับหล่อนมันคือความรัก ใช่...มันไม่มีทางเป็นความรักไปได้ ในเมื่อหล่อนไม่มีอะไรคู่ควรกับผู้ชายเพอร์เฟกต์เช่นเขาเลย
ไม่มีเลยจริงๆ
หยาดน้ำตาไหลออกมานอกดวงตาอีกครั้งอย่างไม่อาจสะกดกลั้นมันเอาไว้ได้ หล่อนควรจะปฏิเสธการแต่งงานนี้ ปฏิเสธคำขอของมารดาที่กำลังป่วย แต่หล่อนก็ไม่อาจจะฝืนใจตัวเองได้ หล่อนหลงรักมาร์ติเนซมานาน นานมากจนแทบจำไม่ได้แล้วว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ เฝ้ามอง เฝ้ารัก และเฝ้าห่วงใยเขาอยู่ห่างๆ ใช่...ทำได้แค่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ เท่านั้น เพราะหล่อนพิการ
เมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว หล่อนกับพ่อออกไปตกปลากันที่ทะเลสาบแห่งหนึ่งในประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นสถานที่ที่พ่อชอบไปมาก วันนั้นแม่ไปงานเลี้ยงกับแม่ของมาร์ติเนซ ทำให้หล่อนต้องไปกับพ่อตามลำพัง ทุกอย่างราบรื่นดีจนกระทั่งขากลับ ฝนตกหนักและก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งร้ายแรงที่สุดในชีวิตของหล่อน
พ่อเสียชีวิตคารถ ในขณะที่หล่อนสลบไสลไม่ได้สติ หล่อนฟื้นขึ้นมาพร้อมๆ กับความพิการที่นรกยัดเยียดมาให้ แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับการที่ต้องเสียผู้ชายที่รักหล่อนมากที่สุดในโลกไปชั่วชีวิต
มันผ่านมานานมากแล้วกับความเจ็บปวดที่ได้รับ และมันก็ทำให้หล่อนต้องออกจากโรงเรียนประจำมาเรียนหนังสือแบบโฮมสคูลที่บ้านแทน หลายครั้งที่คิดอยากจะลาไปจากโลกนี้ หลายครั้งที่พร้อมจะหยุดหายใจจากไป แต่เพราะมีแม่...แม่ที่เพิ่งเสียใจกับการจากไปของพ่ออย่างกะทันหัน แม่คงจะช็อกจนขาดใจตาย หากต้องเสียหล่อนไปอีกคน ดังนั้นหล่อนจึงยอมมีลมหายใจอยู่ต่อมาดั่งเช่นทุกวันนี้ ในสภาพสาวพิการนั่งรถเข็นตลอดเวลา
หยาดน้ำตาไหลหยดแหมะลงมาเปื้อนถุงกระดาษใส่ตัวอย่างของชำร่วย หล่อนรีบป้ายมันทิ้ง และพยายามกลบเกลื่อนความทรมานเอาไว้ใต้สีหน้าราบเรียบ
ไม่มีใครมองหล่อนออกว่าหล่อนกำลังรู้สึกอะไรอยู่ นอกเสียจากแสงแก้วพี่เลี้ยงคนสนิทเท่านั้น
“อย่าไปฟังคำพูดของพวกผู้หญิงขี้อิจฉาเลยค่ะ ยังไงซะคุณมาร์ตก็ตัดสินใจเลือกคุณหนูแล้ว”
สราวลียิ้มหยันตัวเอง ดวงตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึก “แสงก็รู้ดีพอๆ กับวลีไม่ใช่เหรอ...” หล่อนเอียงหน้ามามองพี่เลี้ยง “ว่าทำไมพี่มาร์ตถึงยอมแต่งงานกับวลี”
“เพราะคุณมาร์ตเอ็นดูคุณหนูยังไงล่ะคะ”
หล่อนก็อยากจะคิดแบบนั้น อยากจะคิดว่าที่มาร์ติเนซยอมแต่งงานด้วยเพราะความรัก แต่มันหาใช่อย่างที่ปรารถนาไม่ ในเมื่อความจริงแล้ว มาร์ติเนซยอมแต่งงานกับหล่อน เพราะไม่อาจขัดคำสั่งของครอบครัวได้
“เพราะพี่มาร์ตขัดคำสั่งของคุณป้าไม่ได้ต่างหาก”
“แสงว่าไม่ใช่นะคะ เพราะสายตาที่คุณมาร์ตมองคุณหนูของแสง เต็มไปด้วยความห่วงใย”
สราวลีผู้มีปมในหัวใจยิ้มหยันตัวเอง “ก็แค่ห่วงใยในความพิการของวลีเท่านั้นแหละ”
“แต่เท่าที่แสงทราบมา คุณมาร์ตเป็นผู้ชายนิ่งๆ เงียบๆ ก็จริง แต่คุณมาร์ตมีนิสัยไม่ผ่อนปรนนะคะ อะไรไม่ชอบก็จะปฏิเสธ ไม่มีแบ่งรับแบ่งสู้ แล้วเรื่องแต่งงานก็เป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตเลย แสงว่าคุณมาร์ตเธอคงมีใจให้คุณหนูนั่นแหละค่ะ”
“งั้นก็คงแค่สงสารในความพิการของวลี”
“คุณหนูขา...อย่าคิดแบบนั้นสิคะ”
สราวลีฝืนยิ้มน้อยๆ ออกมา “วลีปวดตาแล้ว ขอนอนหลับสักงีบนะแสง ถึงแล้วปลุกด้วยล่ะ”
แสงแก้วมองเจ้านายสาวที่หลับตาลงด้วยความสงสาร หล่อนรู้ดีว่าสราวลีรักมาร์ติเนซ แอบรักมานาน แต่ปมใหญ่ภายในใจของเจ้านายก็คือคิดอยู่เสมอว่ามาร์ติเนซแค่เวทนาตัวเอง