ตอนที่ 1
Pre-Chapter
“ไหนล่ะของที่ฉันต้องการ” ชายลึกลับในมุมมืดถามเสียงเข้ม
“เงินล่ะ?”
ชายคนนั้นนิ่งไปครู่ ก่อนจะดีดนิ้วให้ลูกน้องนำกระเป๋าเอกสารใบใหญ่ ไปวางไว้ตรงหน้า
“เปิดสิ”
ลูกน้องคนสนิทจัดการเปิดกระเป๋าใบใหญ่ตามคำสั่งของเจ้านาย
ภายในกระเป๋าเต็มไปด้วยเงินดอลลาร์มัดละ 1,000 ใบ ชายหนุ่มตรงข้ามมองปึกเงินในกระเป๋าด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย
“ของฉันล่ะ”
“นี่ไง ของที่คุณต้องการ” ชายหนุ่มส่งวัตถุทรงกลมขนาดยาวประมาณ 12 นิ้ว ยื่นส่งให้
“ยินดีที่ได้ทำธุรกิจร่วมกับคุณ”
ชายหนุ่มรีบหยิบกระเป๋าขึ้นมากอดเอาไว้ ก่อนจะบอกลาทันที
“เช่นกัน”
ชายในมุมมืดยิ้มเหยียดตามหลังชายหนุ่มที่เพิ่งเดินจากไป
“Ubeyte yego” (ฆ่ามันซะ)
“Eto” (ครับเจ้านาย)
ลูกน้องคนสนิทรับคำสั่ง พร้อมกับเดินตามชายคนนั้นออกไปทันที
“หึหึ คราวนี้ ไอ้มาร์คัสคงกระอักเลือดน่าดู ฮ่าๆๆๆๆ”
ชายลึกลับส่งเสียงหัวเราะกึกก้องดังลั่นราวกับผู้ชนะ
*************
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ตี๊ด...
เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้นสร้างความรำคาญให้กับหญิงสาวที่กำลังนอนหลับสบายอยู่เตียงนอนที่แสนนุ่ม
“ฮื้อ รำคาญจริง”
ตึก!
หญิงสาวเอื้อมมือไปกดปิดนาฬิกาบนหัวเตียง ก่อนจะพลิกตัวดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวและหลับต่ออย่างสบายใจ
“คุณหนูคะ คุณหนู ตื่นได้แล้วค่ะ”
“อื๊อ..ขอนอนต่ออีกหน่อยน่า...”
หญิงสาวบ่นพึมพำออกมาพร้อมกับขดตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่ม
“คุณหนูเซร่า!!”
พรึ่บ!
“อย่าขี้เซาค่ะ ต้องไปโรงเรียนนะคะ”
ป้าแมรี่เรียกเสียงดังพร้อมกับดึงผ้าห่มออกจากตัวของหญิงสาว และพยายามฉุดให้เธอลุกขึ้นจากที่นอน
“ป้าอะ ขอนอนต่ออีกหน่อยก็ไม่ได้”
“ไม่ได้ค่ะ อย่าขี้เกียจ ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว”
ป้าแมรี่ดันหลังของหญิงสาวให้เข้าไปในห้องน้ำและส่งเสื้อคลุมอาบน้ำกับผ้าเช็ดตัวตามเข้าไปให้
“ให้เวลา 20 นาทีนะคะ”
หญิงสาวบ่นพึมพำออกมาเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ หญิงวัยกลางคนอดอมยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูไม่ได้
เธอรีบทำความสะอาดเตียงนอน และส่วนอื่นให้เรียบร้อย ก่อนจะเตรียมชุดนักเรียนออกมาให้หญิงสาว
หลังจากอาบน้ำเสร็จ หญิงสาวเดินออกจากห้องน้ำตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง เงาในกระจกสะท้อนภาพใบหน้าของหญิงสาวที่ดูสดใส ผิวขาวอมชมพูเรื่อๆ เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำร้อนที่เพิ่งอาบเสร็จ
ช่วงฤดูหนาวของแคว้นนี้ น้ำที่อุ่นพอประมาณจำเป็นต่อการอาบน้ำยามเช้าอย่างมาก
“อยู่นิ่งๆ สิคะ คุณหนู”
“ฮิฮิ ป้าก็ทำผมไวๆ สิคะ”
หญิงวัยกลางคนส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ เธอมัดผมรวบครึ่งศีรษะให้สาวน้อย และผูกโบสีชมพูอ่อนให้อย่างสวยงาม
“เสร็จแล้วค่ะ ลงไปทานอาหารเช้าได้แล้วค่ะ ท่านทูตรออยู่”
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวย่อตัวล้อเลียน ก่อนจะฮัมเพลงเดินลงไปด้านล่าง
หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น ทำให้เธอไม่สามารถข่มตาหลับได้ยามค่ำคืน
ภาพของเรน่า ที่ถือมีดกำลังจะจ้วงแทงเธอยังอยู่ในความทรงจำ
บางครั้งเธอฝันร้ายถึงเหตุการณ์เล่านั้น แต่ทว่า...ในฝันของเธอจะปรากฏร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งมาช่วยเสมอ
ถ้าตอนนั้นเขามาช่วยเราไม่ทันล่ะ?
ตอนนี้เราจะยังมีชีวิตอยู่แบบนี้มั้ยนะ
“เซร่า วันนี้มีออมเล็ตของโปรดลูกด้วยนะ”
“ค่ะ คุณแม่”
เสียงของมิเชล เรียกสติของเซร่าให้กลับสู่ปัจจุบัน หญิงสาวขานตอบเสียงใส และเดินตรงเข้าไปที่โต๊ะอาหาร
ท่านทูตมิยาเกะนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่หัวโต๊ะ กาแฟในถ้วยพร่องไปกว่าครึ่ง
เซร่าหยิบผ้าเช็ดปากมาคลี่กางบนตัก ขณะที่สาวใช้กำลังรินน้ำส้มใส่แก้วให้
“น่าสงสารเด็กคนนั้นจริงๆ เลย” ท่านทูตมิยาเกะพูดด้วยน้ำเสียงปลงๆ ก่อนจะลดหนังสือพิมพ์ในมือลง
“เด็กคนไหนคะ?” เซร่าถามพลางหยิบขนมปังปิ้งสีเหลืองน่ากินมาวางบนจานของตนเอง
“คนที่ทำร้ายลูกยังไงล่ะ”
“เรน่า?”
“แพทย์ตรวจพบว่าเป็นโรคจิตขั้นเก็บกด เธอจะแสดงอาการเกลียดคนที่เข้าใกล้คนที่เธอรักอย่างมาก ตอนที่โดนจับ ข่าวลงว่า บ้าคลั่งถึงขนาดหยิบมีดแทงตัวตาย แต่ไม่สำเร็จ แต่ตอนนี้....” ท่านทูตเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง
“เด็กคนนั้นผูกคอตายในห้องขังเสียแล้ว”
“ฮ้า? แล้วยังไงคะ?”
“ตำรวจลงความเห็นว่าฆ่าตัวตาย แต่นักสืบเอกชนสงสัยว่าเป็นการฆาตกรรมน่ะ” ท่านทูตหยิบไปป์ขึ้นมาถือไว้ในมือ
“ทำไมคะ?” เซร่าเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“สภาพศพเต็มไปด้วยบาดแผลจากการโดนทำร้ายจากของมีคม เนื้อบางส่วนมีสภาพเละ เหมือนโดนน้ำกรดราดใส่”
“แปลว่า เธอคงโดนใครสักคนทำร้ายก่อนที่จะผูกคอตายสินะคะ”
“น่าจะเป็นแบบนั้นนะ”
“ใครกันคะที่จะทำแบบนั้นได้?” หญิงสาวกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด
“มิสเตอร์เบนสันน่าสงสัยมากที่สุด เขาคงไม่ยอมปล่อยคนที่ทำร้ายลูกสาวสุดที่รักลอยนวลสบายๆ อยู่ในคุกได้หรอก” ท่านทูตมิยาเกะมีสีหน้าเคร่งขรึม
“แล้วทำไมตำรวจไม่จับเขาล่ะคะ?”
“เขาเป็นผู้มีอิทธิพล ตำรวจไม่กล้ายุ่งกับเขาหรอก” ท่านทูตหยิบกล่องไม้ขีดไฟขึ้นมาเคาะบนโต๊ะ
“ห้ามสูบบนโต๊ะอาหารนะคะ” มิเชลเตือนยิ้มๆ
“ครับผม” ท่านทูตลุกขึ้นหอมแก้มภรรยา ก่อนจะเดินออกไปตรงระเบียงเพื่อสูบไปป์ทุกครั้งหลังทานอาหาร
“อย่ามัวเหม่อสิลูก เดี๋ยวไปโรงเรียนสายนะ”
“ค่ะ คุณแม่” เซร่ารีบหยิบน้ำส้มคั้นขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขอตัวลุกจากโต๊ะอาหารเพื่อไปโรงเรียน
ด้านหน้าของสถานทูตมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนรออย่างกระวนกระวาย เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูหลายครั้ง พร้อมกับชะโงกหน้ามองเข้าไปภายในสถานทูต จนกระทั่งเห็นร่างของหญิงสาวเดินออกมา
“ชักช้าจริง” ชายหนุ่มตรงเข้าไปรับกระเป๋าจากเธอและบ่นอย่างไม่จริงจังนัก
“7:15 เองนะ” เซร่าค้อนขวับใส่เขา
“ช้าแล้ว ปกติต้อง 7 โมงสิ”
“พูดมากน่า ไปขึ้นรถเลย” เซร่าพูดพลางดันตัวฮิเดกิให้ขึ้นไปบนรถ
ชายหนุ่มแกล้งขืนตัวเอาไว้ จนกระทั่งหญิงสาวรำคาญ จึงปล่อยเขาและเดินกระฟัดกระเฟียดขึ้นรถไปก่อน โดยที่เขาหัวเราะขำขันกับท่าทางของเธอตามหลัง
รถประจำสถานทูตเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ โดยมีสายตาของคุณหญิงมิเชลมองตามส่งลูกสาวของเธอด้วยความเป็นห่วง
“บ้าที่สุด!”
มาร์คัสสบถเสียงดังลั่น เมื่อเห็นส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทเปริยองแชมเปญลดลงจากไตรมาสที่แล้วถึง 5%
โดยส่วนต่างดังกล่าวดูเหมือนจะไปเพิ่มให้กับบริษัทชางปาญของมิสเตอร์เฟอร์ดูร์ ที่เป็นคู่แข่งในการผลิตไวน์ของเขา
ชายหนุ่มสองพี่น้องที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารหันไปสบตากันด้วยความไม่สบายใจ
“มีอะไรหรือคะ?” หม่อมหลวงกญิดาสนใจใคร่รู้
“ไอ้เฟอร์ดูร์คิดจะแย่งส่วนแบ่งการตลาดของเราน่ะสิ”
“ฉันไม่ยอมเด็ดขาด ตราบใดที่ฉันยังเป็นประธานบริษัทอยู่ ฉันจะไม่ยอมให้หน้าไหนมาแย่งอันดับ 1 เด็ดขาด!”
มาร์คัสตะคอกอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมกับพับหนังสือพิมพ์ฟาดลงบนโต๊ะอาหารอย่างแรง ทำให้ชายหนุ่มสองคนพลอยสะดุ้งไปด้วย
“เจ้าเหม เสาร์นี้แกไปกับฉัน ฉันจะสอนงานแกในฐานะผู้สืบทอดของบริษัท”
“แต่ว่า..”
“ไม่มีแต่ทั้งนั้น!”
“ฉันจะไม่ยอมให้ไอ้คาร์ลอสมาเป็นประธานบริษัทแทนแกเด็ดขาด”
มาร์คัสบอกเสียงกร้าว นัยน์ตาลุกวาวด้วยความโกรธเมื่อนึกถึงคาร์ลอส รองประธานบริษัทที่พยายามหาโอกาสเสียบแทนเขาหลายครั้ง
เหมันต์นิ่งเงียบไป เพราะรู้ดีว่า บรรพบุรุษของเขาเป็นผู้สร้างบริษัทเปริยองแชมเปญมากับมือ
ดังนั้นการที่จะให้คนอื่นที่ไม่ใช่สายเลือดของตระกูลมาบริหารงานแทน ย่อมไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
“ลูก 2 คน รีบไปโรงเรียนเถอะ เดี๋ยวสายนะ” กญิดาตัดบทก่อนที่มาร์คัสจะอาละวาดมากไปกว่านี้
“ครับ” ทั้งสองคนรีบลุกและเดินออกจากห้องอาหารไปทันที
“น่าเหนื่อยแทนนายนะ” คิมหันต์พูดขึ้นลอยๆ ภายในรถ
“ทำไงได้ ก็ฉันเป็นลูกคนโตนี่” เหมันต์ยักไหล่ และถอดแว่นออกมาทำความสะอาด
“เราน่าจะสลับกันนะ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันยกให้นายเลย” เหมันต์พูดยิ้มๆ เขาพอรู้มาบ้างว่า คิมหันต์ชอบงานด้านบริหารธุรกิจ
“แต่พ่อน่ะสิ....”
“ช่างเถอะ ไว้ค่อยแก้ปัญหาเอาข้างหน้า”
“นายคงอยากไปปรึกษามิสเตอร์แองเจลโล่เรื่องเรียนต่อสินะ”
“อืม..แต่บริษัทก็สำคัญนะ” เหมันต์มีสีหน้าเคร่งเครียด
“นั่นสิ จะให้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น ฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน” คิมหันต์พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ตั้งแต่เกิดเรื่องราวของเรน่า สองพี่น้องเริ่มเปิดใจคุยกันมากขึ้น ยกเว้นเรื่องของออยเฟ่ย์เท่านั้น ที่ทั้งคู่พร้อมใจกันเลี่ยงไม่เอ่ยถึง