บทที่ 5
“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นนะคุณ”
“เอาเถอะๆ ยังไงฉันก็อายุมากกว่าคุณก็แล้วกัน ที่สำคัญคุณเดาผิด ไปซื้อเฟรนซ์ฟรายส์มาเลย”
“ครับๆ” ธาวินยิ้มรับ แล้วลุกขึ้นไปซื้อเฟรนซ์ฟรายส์ร้อนๆ มาเสิร์ฟให้วันเมษา ขณะรอเฟรนซ์ฟรายส์ที่สั่งไป ชายหนุ่มก็อดที่จะหันกลับมามองคนตัวเล็กๆ ที่นั่งอยู่ด้านนอกไม่ได้ ก่อนที่ประโยคหนึ่งจะดังก้องอยู่ในความคิด ’อายุเป็นเพียงตัวเลข’
เมื่อได้เฟรนซ์ฟรายส์ ธาวินก็กลับมาที่โต๊ะ ก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งทานด้วยกัน น่าแปลกที่เวลาช่างผ่านไปเร็วมาก มากเสียจนแปลกใจ เพราะคนที่ธาวินจะนั่งพูดคุยจนลืมเวลาก่อนหน้านี้ดูจะมีแค่มารดาเขาคนเดียวเท่านั้น กระทั่งเขาได้พบกับวันเมษา ผู้หญิงชื่อแปลก
เมื่อเห็นว่าดึกมากแล้ว และไม่มีเหตุผลให้ต้องนั่งต่อ วันเมษาจึงเอ่ยขอตัว แม้อยากจะรั้งเธอไว้ให้อยู่คุยกับเขาอีกหน่อย แต่ธาวินก็ไม่ได้เอ่ยประโยคนั้นออกมา
“ขับรถกลับบ้านดีๆ นะคุณ อย่าไปเสยรถใครเขาอีกล่ะ” คำว่าเสยรถใครที่ได้ยิน ทำให้วันเมษาหวนคิดถึงคำพูดของเฟื่องรัตน์ ว่าขอให้เธอเสยเนื้อคู่ นั่นทำให้เธอยิ้ม
“บ้า!” วันเมษาส่ายหน้าแรงๆ เพื่อไล่ความคิดบ้าๆ นี่ให้ออกจากหัว แต่ท่าทางของเธอกลับทำให้อีกคนที่มองอยู่พลอยยิ้มไปด้วย
“ดีจังที่คุณยิ้มได้แล้ว”
“ทำไมฉันจะยิ้มไม่ได้”
“ก็คุณพึ่งจะ…ช่างเถอะ คุณยิ้มได้แค่นี้ก็พอแล้ว” ธาวินกำลังจะพูดเรื่องที่วันเมษาพึ่งถูกบอกเลิกมา แต่ก็เลือกที่จะเก็บประโยคนั้นไว้
“กลับบ้านได้แล้วเด็กน้อย บ๊ายบาย” วันเมษาโบกมือลาธาวิน แล้วเปิดประตู พร้อมกับก้าวขึ้นรถ ก่อนจะสตาร์ทแล้วขับออกไป
“เด็กน้อยเหรอ หึหึ” ธาวินเอ่ยทวนประโยคที่แสนจะขัดใจ เขาไม่ใช่เด็กน้อยอย่างที่วันเมษาพูดแน่นอน อีกไม่นาน เขาจะทำให้เธอต้องเปลี่ยนความคิดนี้
“อายุเป็นเพียงตัวเลข ว่าไหมวิน” ชายหนุ่มเอ่ยกับตัวเองแล้วหัวเราะอยู่ในลำคอ ก่อนจะฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีกลับไปยังรถของตัวเอง แม้ไฟหน้าจะแตก กันชนจะยุบจนถูกวันเมษากล่าวหาว่าเขาใช้รถเซินเจิ้น แต่พอมาคิดๆ ดูก็คุ้มค่ากับการลงทุนเพื่อให้ได้รู้จักเธอ ผู้หญิงไซส์มินิ ที่อายุแก่กว่าเขาสี่ปี
ธาวินหรือหมอวิน ศัลยแพทย์หนุ่มหล่อไฟแรง เจ้าของศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งความงามชื่อดัง ที่ตอนนี้มีเพียงแห่งเดียวแต่กลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งในอนาคตอันใกล้ ธาวินก็มีโครงการที่จะขยายสาขาให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ถึงแม้ชายหนุ่มจะอายุยังน้อยเมื่อเทียบกับหน้าที่การงาน แต่ฝีมือเรื่องการผ่าตัดนั้นถือว่าหาตัวจับได้ยาก เขาได้รับความไว้วางใจให้ทำการผ่าตัดเคสใหญ่ๆ มาแล้วหลายเคส และธาวินก็ไม่เคยทำให้คนรอบข้างผิดหวัง
และด้วยรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา ดูสะอาดสะอ้าน การแต่งตัวที่ดูภูมิฐาน ทำให้ใครต่อใครต่างคิดว่าเขาคงอายุอานามสามสิบขึ้นไป หรือบางคนที่ได้พบเห็น คิดไปต่างๆ นานา ว่าธาวินนั้นอาจไม่ใช่ผู้ชายแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ เพราะเขารู้จักตัวเองดี ว่าไม่ได้มีรสนิยมชายรักชายแต่อย่างใด
มือหนากำลังพลิกแฟ้มคนไข้ที่วันนี้มีนัดตรวจหลังผ่าตัดอ่าน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเมื่อประตูห้องทำงานถูกเปิดออก พร้อมกับเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง
“สวัสดีครับคุณเก๋ไก๋ แผลผ่าตัดเป็นยังไงบ้างครับ”
“ดีค่ะ สวยงาม เด้งดึ๋งอย่างที่เก๋ไก๋ต้องการทุกอย่าง” เก๋ไก๋ยิ้มกว้าง เพราะเมื่อสามอาทิตย์ก่อน เธอมาที่นี่เพื่อให้หมอธาวินแก้ไขขนาดหน้าอกที่ผ่านการผ่าตัดเสริมซิลิโคนไปเมื่อห้าปีก่อนให้ใหญ่ขึ้นอีกนิด ส่วนปีหน้าเธอจะผ่าตัดแปลงเพศ และคงเลือกที่จะผ่าตัดที่นี่เช่นกัน
“ดีแล้วครับ งั้นผมขอตรวจแผลหน่อย เชิญคุณเก๋ไก๋ขึ้นเตียงได้เลยครับ”
“อุ๊ย! ดีจัง หมอชวนขึ้นเตียง”
“คุณเก๋ไก๋” ธาวินเอ่ยเสียงเข้ม ก่อนจะทำหน้าตาดุๆ ส่งมายังเก๋ไก๋
“ค่ะๆ เก๋ไก๋ยอมแล้ว” ใบหน้าของเก๋ไก๋นั้นยิ้มกริ่ม เพราะเธอชอบเย้าหมอธาวินเล่น ผู้ชายอะไร หล่อน่าลาก ปากแดงน่าจุ๊บ ถ้าไม่ติดว่าเธอมีคนรักอยู่แล้วละก็ รับรองอาจมีลากและมีจุ๊บ อร๊ายยยย คิดแล้วเก๋ไก๋ฟิน
เมื่อฟินแล้วก็ค่อยๆ ก้าวขึ้นเตียง ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อออก จากนั้นก็เปิดบราที่มีการออกแบบมาเฉพาะสำหรับสวมใส่หลังการผ่าตัดเพื่อพยุงหน้าอก
หมอธาวินจึงตรวจดูแผลอย่างละเอียด แต่มือนุ่มๆ ที่จับตรงนั้น ตรงนี้ ลูบๆ คลำๆ หน้าอกคัพดีแปดสิบแม้ภายในจะเป็นซิลิโคนหาใช่ดูมๆ ของแท้แม่ให้มา แต่ก็พานทำเอาเก๋ไก๋หน้าแดงซ่านอย่างเขินอาย ผิดกับหมอหนุ่มที่ยืนหน้านิ่ง ราวกับไร้ความรู้สึก
เมื่อตรวจเสร็จ ธาวินก็เอ่ยบอกให้เก๋ไก๋สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะกลับมานั่งคุยกันที่โต๊ะอย่างเดิม ทุกอย่างไม่มีอะไรผิดปรกติ เก๋ไก๋ก็แทบไม่จำเป็นต้องมาพบเขาอีก นอกเสียจากอนาคตต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรบนร่างกาย ซึ่งเขาก็พอจะรู้จากเก๋ไก๋แล้วว่าต้องการแปลงเพศ แต่ก่อนจะออกจากห้องไป เก๋ไก๋ก็เอ่ยถามเสียงเรียบ
“หมออย่าหาว่าเก๋ไก๋ละลาบละล้วงเลยนะคะ พอดีเก๋ไก๋มีคำถามจะถามหมอสักข้อ”
“ถามอะไรครับ” ธาวินพอจะเดาคำถามของเก๋ไก๋ออก ถ้าไม่ถามว่าเขาเป็นเกย์ไหม ก็คงถามว่าเขามีคนรักแล้วหรือยัง แต่สิ่งที่เก๋ไก๋คิดในใจเพื่อจะถามนั้น กลับคนละประเด็นกับที่ธาวินคิดอยู่ในใจ
“เวลาจับหน้าอกคนที่มาผ่าตัด หมอไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือคะ”
“ไม่ครับ”
“หมอคงจับจนชินมือแล้วเนอะ ผ่านมากี่เต้าต่อกี่เต้าแล้วก็ไม่รู้”
“คุณเก๋ไก๋พูดแบบนี้ผมเหมือนหมอหื่นยังไงไม่รู้นะครับ” ธาวินลอบยิ้มมุมปาก จะว่าไปการทำงานอะไรที่มันซ้ำๆ บางทีความตื่นเต้นก็พานหดหายไปได้เหมือนกัน
“เก๋ไก๋แค่แซวเล่นนะคะหมอ งั้นไม่กวนเวลาหมอดีกว่า บายค่ะ” เก๋ไก๋เอ่ยลา ก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วเดินกลับออกไปจากห้องทำงานของธาวิน ซึ่งจังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น ก่อนจะหยิบมาสไลด์ไปด้านข้างเพื่อรับสาย คุยสองสามคำก็กดวาง ก่อนจะบึ่งรถไปหาคนที่โทรหาเมื่อครู่ทันที
เพราะความรีบร้อน เก๋ไก๋แทบจะเสยบรรดากระถางไม้ดอกไม้ประดับตรงลานจอดรถภายในร้านอาหาร ซึ่งเป็นสถานที่นัดหมาย แต่พอไปถึงกลับเห็นคนที่เธอเป็นห่วงนั่งยิ้มแป้นแล้นอยู่
“ไหนแกบอกว่ายัยษา ร้องห่มร้องไห้จนตาบูดตาบวม ฉันยังเห็นตามันกรีดอายไลเนอร์คมกริบอยู่เนี่ย” เก๋ไก๋แว้ดใส่เฟื่องรัตน์ทันทีที่มาถึง
“ก็ถ้าฉันไม่พูดแบบนั้น แกจะรีบมาแบบนี้หรือยัยเก๋ไก๋”
“ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่รีบจนขับรถชนตอหม้อตาย ยัยเฟื่อง” คนสวยกัดฟันกรอดๆ เพราะเธอห่วงวันเมษามาตลอดทาง แต่พอมาเห็นแบบนี้ก็ค่อยโล่งอกหน่อย
“เออน่ะ โทษทีๆ พอดีฉันหิวมากไปหน่อยเลยเร่งแกแบบนั้น”
“ย่ะ!”
“จะเถียงกันอีกนานไหม ส้มตำมันเซ็งหมดแล้ว” วันเมษาที่มือนึงถือช้อน อีกมือคว้ากระติ๊บข้าวเหนียว เงยหน้าขึ้นถามเพื่อนสนิททั้งสองคน ที่วันนี้แวะมาทานข้าวแถวๆ ออฟฟิศเธอ กลิ่นส้มตำปูปลาร้า ลาบหมู ต้มแซบกระดูดอ่อน โชยมาแตะจมูก จนท้องเธอร้องจ๊อกๆ มานานหลายนาทีแล้ว
