บทที่ 1
บัดนี้ ภายหลังจากที่ได้ใช้เวลากว่าหนึ่งปีอยู่ในคุก เวลาแห่งความเป็นอิสระก็ได้กลับมาเป็นของเขาอีกครั้ง และการเดินทางเพื่อหาตัวน้องชายก็ได้ทำให้เขามาถึงไร่ปศุสัตว์แห่งหนึ่งซึ่งอยู่บริเวณภูเขาห่างไปทางด้านตะวันออกของเมืองแบนเดร่า 9 ไมล์ บ้านไร่หลังนั้นตั้งอยู่บนเนินเขาลูกหนึ่งซึงอาบอยู่ด้วยแสงแรงร้อนของดวงอาทิตย์... มีต้นซีดาร์ที่ให้ร่มเงาครึ้มขึ้นอยู่ประปราย แม้จะรู้ว่าสามีภรรยาเฟอร์เรลล์อาจจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของชาร์ลีมากไปกว่าเขาแต่อย่างน้อยมันก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ควรแก่การสืบหาอยู่
เมื่อปิดประตูรถปิคอัพลงนั้น โจเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามแห่งฤดูร้อนที่ปราศจากเมฆหมอกมาปิดบัง... สูดลมหายใจเอากลิ่นอายอันสดสะอาดของเมืองชนบทที่อยู่ท่ามกลางภูเขาเข้าไว้ในปอด ความบริสุทธิ์ของอากาศนี้เหมือนจะมีพลังอันมหัศจรรย์ที่สามารถจะเยียวยา และชำระล้างความสกปรกทั้งหลายที่ติดกายมาให้หมดไปได้ มันช่วยให้จิตใจที่อ่อนล้ากระปรี้กระเปร่า โจอดที่จะคิดอยู่ในใจไม่ได้ว่า บรรยากาศอันสะอาดสดใสเช่นนี้ น่าจะได้ออกมาตั้งแคมป์อยู่เสียจริง แต่ขณะนี้เขายังมีภาระที่จะต้องกระทำ เป็นภาระที่อย่างน้อยเมื่อได้บรรลุผมสำเร็จแล้ว ย่อมจะนำความสงบสุขมาสู่จิตใจได้เป็นอย่างมาก และอย่างน้อยมันก็จะช่วยให้เขาตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ง่ายขึ้น
ด้วยสายตาครุ่นคิด โจมองไปทางบ้านหลังนั้นเป็นสิ่งแรก และแล้วก็หันไปมองทางเดินอันเคยคุ้นซึ่งอยู่ทางด้านขวามือ ความต้องการอย่างรุนแรงผุดพลุ่งขึ้นในหัวใจ ใคร่ที่จะเดินมุ่งหน้าไปทางนั้น อันเป็นทางที่มุ่งตรงไปสู่ลำธาร ไปป์ ครีกอยู่ ถอดเสื้อผ้าออกจากกายและกระโจนลงไปแหวกว่ายในธารน้ำใสให้ชื่นฉ่ำหัวใจ
แต่แล้ว ภายหลังจากที่ลังเลอยู่เพียงชั่วครู่ เขาก็ตัดสินใจเดินมุ่งหน้าตรงไปยังตัวบ้าน บอกกับตัวเองว่า สิ่งที่ควรจะทำอย่างที่สุดในเวลานี้คือ สอบถามในสิ่งที่ตนต้องการหาความรู้ให้ได้ก่อน และหลังจากนั้นจะลงไปแหวกว่ายในลำธารให้นานสักเท่าไรก็ได้
โจยกมือขึ้นเคาะประตูไม้โอ๊คที่แกะสลักเป็นลวดลายสวยงามแรงๆ และแล้วเขาก็ต้องการสะดุ้งด้วยความตกใจ เป็นความรู้สึกตกใจอย่างแท้จริง ที่ประตูบ้านนั้นเปิดผัวะออกมาทันที
ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่เบื้องแระตูนั้น มือทั้งสองข้างเท้าสะเอาไว้ เธอเป็นคนที่มีรูปร่างค่อนสูง สวยแบบสาวสมัยใหม่ คือมิได้ถึงกับสวยเลิศเลอเช่นนางงาม แต่มันคล้ายกับมีพลังแห่งความมีชีวิตจิตใจ ฉายออกมาให้เห็นได้อย่างเด่นชัด
ถ้าเขาจะต้องให้คำอธิบายเกี่ยวกับลักษณะของผู้หญิงคนนี้ด้วยถ้อยคำสั้นๆ ที่ได้ใจความแล้ว เขาก็อยากจะกล่าวว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เกิดมาสำหรับผู้ชายโดยแท้ เป็นผู้หญิงประเภทที่ผู้ชายหลายคนจะต้องใฝ่ฝันหา และถ้าเธอจะมีเชื้อสายของตระกูลเฟอร์เรลล์แล้ว เธอก็มิได้มีอะไรคล้ายกับบุคคลในสกุลที่เขาเคยรู้จักเลย ท่าทางของเธอมีความเป็นธรรมชาติอย่างยิ่งและดูแปลกกว่าผู้หญิงคนไหนๆ ที่เขาได้พบมา
ดูเหมือนเธอกำลังพูดอะไรบางอย่างที่ต้องการคำตอบเสียด้วย
ว่าไง...ฉันถามคุณว่าคุณชื่อโจใช่ไหมล่ะ”
เอ๊ะ...นี่เธอรู้จักชื่อเขาได้อย่างไรกันนี่ไม่เคยมีใครรู้ว่าเขาจะเดินทางมาที่นี่เลยสักคน และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือไม่เคยมีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเขาตั้งใจจะใช้ชื่อกลางของตนเอง ทั้งนี้เพราะเขาไม่ชอบให้ใครมาเรียกชื่อต้นว่าแซม โดยเฉพาะสิ่งที่เขาเกลียดก็คือ การที่ใครจะมาเรียกว่าแซมมี่ หรือ แซม จูเนียร์เพราะฉะนั้น เขาจะต้องหาคำตอบให้ได้ว่าเธอรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาบ้าง
“เอ้อ…ใช่ครับ...ผมชื่อโจ”
“ฉันว่านี่เป็นการเริ่มต้นในการทำความรู้จักกันชนิดที่แย่ที่สุด” เธอเชิดหน้าขึ้น โหนกแก้มสูงเด่นเห็นได้ชัด ขณะเดียวกัน ปลายนิ้วกลมมนก็เคาะอยู่กับนาฬิกาข้อมือเรือนทองราคาแพง “คุณมาผิดเวลามากนัก ฉันคิดว่าคุณควรจะมาถึงตั้งแต่เมื่อ 4 ชั่วโมงที่แล้วเสียด้วยซ้ำ”
การทำความรู้จักกัน...ที่แย่ที่สุด...เมื่อ 4 ชั่วโมงที่แล้ว...เอ๊ะ...นี่คุณเป็นใครกันแน่นะคุณผู้หญิง เอาล่ะ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณก็เก๋ชะมัดเลยล่ะ...
“เอ้อ...ขอโทษครับ คุณนาย” ลำแสงแห่งดวงอาทิตย์ตกต้องลงบนมรกตที่ล้อมอยู่ด้วยเรือนทองบนมือข้างขวาของเธอแต่ดูเหมือนประกายในดวงตาคู่นั้นจะเขียงเข้มยิ่งกว่า
“ก่อนอื่น ขอให้ฉันพูดกับคุณตรงๆ เลยดีกว่านะโจว่าฉันทนกันการที่คนเราจะทำอะไรอย่างไม่รับผิดชอบไม่ได้” ทรวงอิ่มเต็มคู่นั้นสะท้อนขึ้นลงอยู่ใต้เสื้อบางเบาสีครีมตามที่เธอระบายลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกขุ่นเคือง “ฉันเป็นคนที่ชอบทำอะไรอย่างตรงเวลาที่สุด และฉันก็หวังไว้ว่า คุณจะเป็นอย่างฉันด้วย”
โจตกอยู่ในภาวะงุนงง ไม่เข้าใจเลยว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ หรือแม้ว่า...เธอมาทำอะไรอยู่ที่นี่ แต่มันจะแปลกตรงไหนเล่า สิ่งที่เขากำลังให้ความสนใจอย่างที่สุดในยามนี้ คือเรือนผมสีสวยที่ยาวสลวยลงประไหล่ และถ้าเขาจะไม่รังเกียจเลย และ...คุณจะเรียกสีของผิวแก้มที่นวลปลั่งอยู่ในยามนี้ว่าสีอะไรดีหนอ มันเป็นสีครีมอมชมพูที่ดูลึกลับอย่างไรบอกไม่ถูก
เขาอยากจะบอกให้เธอได้รับรู้ถึงสิ่งที่กำลังคิดอยู่ในใจอย่างเหลือเกิน แต่เมื่อคิดไปถึงว่ามันอาจจะทำให้เธอกระแทกประตูใส่หน้าเขาง่ายๆ หรืออาจจะชักปืนออกมาเล็งใส่เขาโจก็รู้สึกไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้นขึ้นมา
“คุณนายครับ...ผมคิดว่า...”
“ฉันคิดว่าคุณจะมาถึงตั้งแต่ 10 โมงครึ่งเสียอีกนะโจแล้วดูสี เพราะการที่คุณมาช้าไปตั้งมากมายอย่างนี้ มันก็เลยทำให้ฉันอดกินอาหารกลางวันไปเลย”
โจสังเกตเห็นความขัดเคืองที่บังเกิดกับเธออยู่ แต่เขากลับมีความรู้สึกว่ามันยิ่งทำให้เธอดูสวยขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เขาอยากจะบอกให้เธอล่วงรู้ถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ แต่จะเป็นเพราะอะไรก็ไม่รู้ได้ที่ทำให้เขาไม่กล้าพอ...และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่รู้จะบอกเธออย่างไรว่าเขามิใช่ “นายโจ”คนที่เธอกำลังรออยู่
แต่แซมมวล โจเซฟ ซินแคลร์ ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเพราะเหตุใดเขาจึงไม่ต้องการจะแก้เรื่องให้เป็นที่เข้าใจอย่างกระจ่างชัด ทั้งนี้เพราะถ้าเขาทำเช่นนั้นเขาก็เพียงแค่ได้รู้ในคำตอบที่ตัวเองต้องการ และแล้วก็ต้องไปจากที่นี่ เขาไม่เคยได้พบปะกับผู้หญิงคนไหนเลยตลอดเวลากว่าปีที่ผ่านมา และผู้หญิงคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าในยามนี้ก็มิใช่ผู้หญิงธรรมดาๆ เพราะฉะนั้นเขาจึงยังไม่คิดอยากจะไปไหนทั้งสิ้น และถ้าจะพูดกันตามความจริงแล้ว เขาเองก็กำลังอยากจะหาโอกาสพัฒนา “การทำความรู้จักกัน” เช่นที่เธอพูดถึงอยู่เมื่อครู่ให้ดีขึ้นกว่านี้ด้วยซ้ำ
“ฟังนะ” เสียงเธอพูดต่อ “ฉันไม่รู้หรอกว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับคุณ แต่คุณจะกรุณาเลิกจ้องหน้าฉันแบบนั้นเสียทีได้ไหม เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกอึดอัด รำคาญด้วย และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น...” เธอยึดร่างขึ้น ซึ่งโประมาณอยู่ในใจว่าส่วนสูงของเธอน่าจะสัก 6 ฟุต 2 นิ้วเห็นจะได้ “คุณนั่นแหละจะต้องทำหน้าที่เป็นคนอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้ฉันฟัง”
อธิบาย...อธิบายอะไรกันล่ะ จะให้ผมบอกตรงๆ อย่างนั้นรึว่าเวลานี้ผมเข้าใจในคำชมสมัยก่อนที่กล่าวว่า “ยิ่งโกรธก็ยิ่งสวย” อย่างถ่องแท้แล้วหรือไง คุณอยากจะให้ผมพูดจริงๆน่ะหรือว่า ผมเพิ่งจะใช้ชีวิตในคุกมาหนึ่งปีหยกๆ และเวลานี้ผมก็เลิกล้มความตั้งใจที่จะตามหาน้องชายแล้ว รู้แต่ว่าสิ่งเดียวที่ผมอยากจะทำอย่างที่สุดในเวลานี้ก็คือ ผมต้องการรู้จักคุณอย่างที่สุด
“เอ้อ...ผมก็ไม่รู้”จะพูดว่ายังไงเหมือนกันละครับ”
“นั่นแหละ ถึงยังไงมันก็สายจนเกินกว่าจะแก้ไขสถานการณ์ได้แล้ว อะไรที่แล้วก็ต้องปล่อยให้แล้วกันไป” เธอก้าวถอยหลัง ชี้ไปทางห้องที่มีลักษณะเป็นห้องรับแขกพร้อมกับพูดว่า “ เข้ามาก่อนสิ เพราะเรามีเรื่องงานที่จะมอบหมายให้คุณทำ ต้องพูดจากัน”
เมื่อเห็นว่าเขามิได้เดินตามเธอเข้าไปในทันที เสียงสั้นรองเท้าที่กระทบพื้นอยู่ก็หยุดลง และเธอหันขวับมามอง มันคล้ายกับมีแววกังวลปรากฏอยู่ทั้งในสีหน้าและดวงตาคู่นั้น
“คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่า” เธอเดินย้อนกลับมาหาเขา มือข้างหนึ่งจับลงตรงต้นแขน “ หรือว่าคุณไม่สบาย ... มันมีอะไรเกิดขึ้นกับคุณอย่างนั้นหรือ ตายแล้ว...ฉันก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย”
“ เดี๋ยวครับ...เดี๋ยว...ผมไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรหรอกผมสบายดี” เขาตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าสีหน้าบอกความกังวลค่อยคลายลง
“ ถ้างั้นก็ดีแล้ว” มือที่จับต้นแขนเขาไว้ตกลง ดูเหมือนเธอจะเขินอายกับการที่ได้แสดงความห่วงใยในตัวเขาออกมาให้เห็น “ เอาละ เมื่อคุณแม่ใจอย่างนั้นเราก็จะได้พูดกันถึงเรื่องงานที่คุณจะต้องทำเสียที”
งานที่จะต้องทำงั้นรี โจใช้ความคิดอย่างเคร่งขรึม
“ ผมต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณไม่ได้ทานอาหารกลางวัน เอ้อ ...” เขาหวังว่าเมื่อมาถึงตอนนี้ เธอจะบอกชื่อให้เขาได้รู้จักไว้บ้าง
“ รู้สึกว่าคุณจะติดคำว่า เอ้อ...อยู่ตลอดเวลาเลยนะโจ ฉันหวังว่าคุณจะไม่พูดจาตะกุกตะกักอย่างนี้ต่อหน้าลูกๆ ของฉันหรอกนะ”