ตอนที่ 2
ได้ ทว่าทุกครั้งที่เจอกัน… ก็อดไม่ได้ที่จะมองเพราะความงามและสเน่ห์อันเย้ายวน น่าค้นหา
เริงรตีเองก็อ่านสายตาเจ้าชู้ของเขาออก สายตาที่จ้องมองเธออย่างให้ความสนใจ ยิ่งเมื่อสบโอกาสได้พูดคุยกันสองต่อสอง… ท่าทีของเขาก็ย้ำชัดถึงความปรารถนาในใจที่มีต่อเธออย่างไม่ต้องสงสัย
“ขับรถดีๆ นะคะคุณนาย”
ป้าชื่นตะโกนเบาๆ กำชับกำชาด้วยความห่วงใย
แม้สถานที่ซึ่งเธอกำลังจะไปนั้นก็อยู่ไม่ไกล แต่ด้วยความห่วงใยของป้าชื่นจนติดเป็นนิสัย แกยืนมองส่งกระทั่งร่างระหงของคนเป็นนายลับหายเข้าไปในรถคันหรู
ธุระจำเป็นอันใดที่ทำให้คุณนายต้องไปที่ไร่องุ่นเพียงลำพัง? ป้าชื่นยืนครุ่นคิดด้วยความสงสัย เพราะว่าภายหลังจากเสี่ยกำพลผู้เป็นสามีของเริงรตีล้มป่วย ป้าชื่นก็ไม่เคยเห็นเธอไปที่ฟาร์มของพ่อเลี้ยงเดโชเพียงลำพังเลยสักครั้ง… กระทั่งวันนี้
แม้แววตาของป้าชื่นบอกว่าอยากรู้ แต่หล่อนก็ดับความสงสัยของตัวเองด้วยมารยาทอันควรได้ในที่สุด ได้แต่เก็บงำความสงสัยเอาไว้เพียงลำพัง…
ครู่ต่อมา…
รถบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีแดงเลือดนกคันหรู ที่มีร่างของเริงรตีเป็นคนขับ ก็เคลื่อนห่างออกไปช้าๆ ทิ้งให้ป้าชื่นทอดสายตามองตามด้วยความฉงน
รถแล่นผ่านทุ่งหญ้าซึ่งกำลังระบัดใบปลิวไสว ล้อเล่นไปกับสายลมทุ่งที่พัดโชยมาเบาๆ
กระทั่งมาถึงกลางฟาร์ม แลเห็นฝูงวัวและม้ายืนเคี้ยวหญ้าอ้อยอิ่งอยู่ไกลๆ โดยไม่รับไม่รู้เลยว่าเธอผู้เป็นเจ้าของฟาร์มแห่งนี้กำลังเผชิญกับบททดสอบของชีวิตที่หนักหนาสาหัส
ดูเหมือนว่า ‘ชะตากรรม’ จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
ทุกสิ่งรอบกายดูราวจะตอกย้ำถึงความรับผิดชอบใหญ่หลวง ในฐานะที่เธอเป็นภรรยาของเจ้าของฟาร์มผู้กำลังประสบปัญหาใกล้ล้มละลายอยู่รอมร่อ
สถานการณ์กำลังบีบคั้นให้เธอรีบตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง… เพื่อความอยู่รอดของฟาร์ม อีกทั้งชีวิตคนงานและลูกๆ ตาดำๆ ของพวกเขา หลายชีวิตที่เธอควรจะมีส่วนรับผิดชอบดูแลอนาคตของพวกเขา… ด้วยสำนึกของคนเป็นนาย
ที่ไร่องุ่น ‘อัครพลไพศัลย์’ ของนายเดโช อัครพลไพศัลย์ หรือที่ผู้คนในละแวกนั้นรู้จักเขาดีในนาม ‘พ่อเลี้ยงเดโช’ ผู้กว้างขวาง เจ้าของไร่องุ่นและฟาร์มโคนมอัครพลไพศัลย์ที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของวังน้ำเขียว
ภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ซึ่งถูกตกแต่งเอาไว้เป็นห้องทำงานของพ่อเลี้ยง ตั้งอยู่ภายในบริเวณเดียวกันกับตัวเรือนขนาดใหญ่ราวกับคฤหาสน์ สร้างขึ้นจากไม้สักทั้งหลัง
ก๊อก ๆ ๆ…
ทันทีที่สิ้นเสียงเคาะประตู
“มีคนมาหาคุณผู้ชายค่ะ”
ป้าศรี สาวใช้วัยกลางคน ยื่นใบหน้าเพียงครึ่ง ผ่านช่องว่างของประตูไม้ที่เปิดแง้มเพียงน้อย
แกรีบรายงานเหตุการณ์ภายนอก หลังจากรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีแดงเลือดนกคันใหญ่ แล่นเข้ามาจอดเทียบยังโรงจอดรถ ภายในอาณาบริเวณของคฤหาสน์ไม้สักหลังงาม ตระหง่านอยู่บนเนื้อที่หลายร้อยไร่ของพ่อเลี้ยง
“ใครกัน?”
เสียงห้วน ห้าว ฟังดูน่าเกรงขามของชายวัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่ ที่กำลังเอนแผ่นหลังกว้างกับพนักเก้าอี้หนังสีดำมันวับ แผงคิ้วดกเข้มระบายอยู่เหนือกรอบดวงตาคมกริบ ริมฝีปากปรกไปด้วยแผงหนวดสีดำดกหนา ใบหน้ายังฉายแววความหล่อเหลาไว้ด้วยเค้าโครงคมสันไม่สร่าง
เขาเอ่ยถามกับผู้รายงานเพียงสั้นๆ เพราะตระหนักดีว่ามีคนรู้จักเพียงไม่กี่คนที่เขายอมให้พบ… แม้จะอยู่นอกเวลางานและตารางนัดหมาย
“คุณเริงรตีค่ะพ่อเลี้ยง”
ป้าศรีกล่าวเบาๆ ด้วยน้ำเสียงนอบน้อมกับคนเป็นนาย
นอกจากป้าศรีจะเปรียบเสมือนธุรการประจำบ้าน หล่อนยังคอยดูแลทุกอย่างภายในบ้านราวกับเป็นเลขาส่วนตัวของตระกูลอัครพลไพศัลย์
ป้าศรีเป็นคนเก่าคนแก่ที่อยู่รับใช้ตระกูลอัครพลไพศัลย์มานาน ไม่น่าแปลกใจที่หล่อนจะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากทุกคนในครอบครัวราวกับเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง
“เริงรตี”
พ่อเลี้ยงเดโชทวนคำอยู่ในใจ… ราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง
ครั้นแล้วก็พยักหน้าให้ป้าศรี เป็นสัญญาณรับรู้ว่าเขายินดีต้อนรับ แววตาคมดุเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นฉายแววยินดีขึ้นมาทันใด
ป้าศรีแอบอมยิ้ม ชำเลืองมองคนเป็นนายด้วยแววตารู้ทัน ด้วยรู้ดีว่า ‘เริงรตี’ เป็นแขกคนสำคัญที่พ่อเลี้ยงเดโชพร้อมจะเปิดประตูบ้านต้อนรับการมาเยือนของเธอเสมอ เป็นไปไม่ได้เลยที่พ่อเลี้ยงเดโชจะปฏิเสธเธอ… ไม่ว่าเริงรตีจะมาเวลาใดก็ตาม
“สวัสดีค่ะพ่อเลี้ยง”
เสียงหวานปนอ้อน เอื้อนเอ่ยมาพร้อมรอยยิ้มหวาน ก่อนที่เรือนร่างรัดรึงจะก้าวผ่านพ้นประตูไม้บานใหญ่ ขาเรียวยาวก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาข้างใน
“สวัสดีครับคุณเริงรตี”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มของชายที่นั่งเอนหลังอยู่ในห้อง เอ่ยทักทายด้วยความประหลาดใจ ระบายยิ้มออกมาเต็มใบหน้ากับแขกผู้มาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย