บทย่อ
เขมนัทต์แทบจะตกเก้าอี้เมื่อรู้ว่า หญิงสาวคนต่อไปที่จะมาเป็นเมียบำเรอเขาคือใคร เธอคือเอมิกา สาวน้อยกะโปโลที่ไม่เคยอยู่ในสายตาเขาเลย เจอหน้ากันทีไร เมินใส่เสมอ กลืนน้ำลายตัวเองแทบไม่ทัน... เขาพบกับคำนี้ เมื่อได้พบกับเอมิกาในลุคใหม่... จากเดินหนีเป็นพุ่งใส่....ใส่แบบไม่ยั้งด้วย ........ “มานี่สิ” เสียงเขมนัทต์ดังทำลายความเงียบ เอมิกาก้าวเดินมาหาคนสั่งด้วยขาค่อนข้างสั่น แต่หัวใจสั่นหนักกว่า ยิ่งเดินเข้าใกล้เขา อัตราการเต้นของหัวใจก็ยิ่งเพิ่มทวี เอมิกามาหยุดยืนริมเตียง เธอหลุบตามองลำแขนใหญ่ที่ยกขึ้นสูง และเคลื่อนตัวมาจับเอวตน ก่อนเขาจะออกแรงรั้งร่างสาวมานั่งบนตัก เก็บกักเอมิกาไว้ด้วยอ้อมแขน ทั้งสองจึงชิดใกล้กันมากขึ้น มีเพียงผ้าขนหนูที่พันรอบอกเอมิกาเท่านั้นที่กั้นกลาง ว้าว... กลิ่นกายเอมิกาหอมมาก หอมกระตุ้นความกำหนัดเขาได้เป็นอย่างดี เขาไม่รู้สึกเช่นนี้มาก่อน ความรู้สึกที่ว่า เพียงแค่ได้สัมผัสกลิ่นกายเธอ อารมณ์ตนจะพลุ่งพล่าน ความกำหนัดถูกปลุกขึ้นมาทันใด เขมนัทต์กอดเอมิกาแน่นขึ้น กดจมูกลงบนหัวไหล่เธอ วินาทีนี้ร่างเธอสั่นสะท้าน หัวใจเต้นกระหน่ำ ความตื่นเต้นปกคลุมจิตใจ “หอมจัง” เขมนัทต์พูดหลังจากได้สูดดมความหอมที่คละเคล้ากันระหว่าง กลิ่นโลชั่นกับกลิ่นแป้ง “ไม่รู้ว่า ตรงอื่นจะหอมอย่างนี้ไหม ไม่แน่อาจหอมกว่าด้วยซ้ำไป” โอ้ว... ประโยคนี้ชวนใจสั่นตัวสั่นเหลือเกิน เอมิกาไม่ใช่เด็กน้อยถึงไม่รู้ว่า ความนัยในคำพูดเขมนัทต์คืออะไร แรงสั่นทำให้เจ้าของอ้อมแขนลอบยิ้ม
1
โอ๊ย...ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า มารดาจะมีความคิดนี้อยู่
4 ปีแล้ว 4 ปีที่ไม่มีเรื่องนี้มาระคายใจ นึกว่าเลิกล้มความตั้งใจไปแล้ว
สุดท้ายก็มีจนได้!
“คุณแม่ว่าอะไรนะครับ จะให้เอมมาเป็นนางบำเรอผมหรือครับ ผมไม่เอานะ ไม่ใช่สเปค ตัวก็ดำ สวยก็ไม่สวย ถ้าเป็นโมนาก็ว่าไปอย่าง” เขมนัทต์หรือเกมส์รีบปฏิเสธคุณหญิงสร้อยระย้าผู้เป็นมารดาทันทีที่รู้ว่า หญิงสาวที่มารดาหามาให้เป็นแม่พันธ์คนที่เจ็ดคือใคร
“แม่ว่าเอมนี่แหละดีแล้ว ไม่สวยแต่นิสัยดีมากๆ เลย แม่ชอบ” อันที่จริงสร้อยระย้าหมายตาเอมิกามานานแล้ว ทว่าด้วยปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะด้วยอายุของเอมิกา อีกทั้งเธอยังศึกษาอยู่ต่างประเทศ จึงไม่สะดวกต่อภารกิจนี้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างลงตัว นางจึงรีบจัดการก่อนมีใครตัดหน้า
“คุณแม่ชอบ แต่ผมไม่ชอบ ผมว่าเอาโมนาดีกว่าครับคุณแม่ สวย หุ่นดี ผมชอบมากกว่าเอมเสียอีก” เขมนัทต์ต่อรอง “แค่ผมนึกถึงหน้าเอม อารมณ์ผมก็ดับแล้วครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณแม่อดได้หลาน ผมไม่รู้ด้วยนะ”
“แม่ไม่เชื่อหรอกว่า แกเห็นเอมแล้วอารมณ์จะดับ แม่ว่าวิ่งเข้าใส่มากกว่า” สร้อยระย้าคิดไปอีกทาง “แกเคยได้ยินคำนี้ไหมว่า เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน ครั้งสุดท้ายที่แกเห็นเอมคือเจ็ดปีก่อนนะ ตอนนั้นเอมอายุสิบห้า ตอนนี้เอมอายุยี่สิบสอง โตเป็นสาวแล้วด้วย ไม่ใช่เด็กกะโปโลอย่างที่แกรู้จัก”
“เจ็ดปีก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากหรอกครับคุณแม่ รูปร่างหน้าตาอย่างเอมจะเปลี่ยนอะไรได้เยอะ นอกจากไปศัลยกรรมเท่านั้นแหละครับที่จะทำให้สวยจนจำไม่ได้” เขมนัทต์ยังคงคิดต่าง “แล้วคุณแม่คิดยังไงครับถึงได้หาผู้หญิงมาเป็นแม่ของลูกผมอีก ผมนึกว่าคุณแม่เลิกล้มความตั้งใจแล้วซะอีก”
เป็นคำถามที่อดถามไม่ได้
“ก็แม่อยากมีหลานไงล่ะ อยากมีมากๆ ด้วย สี่ปีมานี้แกไม่หาเมียสักที บ้างานอยู่ได้” นางตอบทันที “เอาอย่างนี้ดีไหม รอให้แกเห็นเอมก่อน ถ้าแกโอเคแม่จะไม่บังคับ แล้วจะไม่หาผู้หญิงให้แกแล้วด้วย จะให้แกหาเอง ถ้าแกไม่อยากมีเมียแม่ก็ไม่บังคับ ถือเสียว่าแม่บุญน้อย ไม่มีวาสนาได้เลี้ยงหลานเหมือนคนอื่นเขา”
น้ำเสียงสร้อยระย้าดูเศร้า เสมือนสีหน้า
“โถ...คุณหญิงของสาย มีเงินมีทองล้นฟ้า แต่ไม่มีหลานเหมือนคนอื่น บุญน้อยไม่พอ ลูกชายยังใจร้ายใจดำไม่ทำหลานให้แม่อีก โถๆๆๆ สายสงส๊านสงสารคุณหญิงจริงๆ เลยค่ะ”
สายพิณ คนรับใช้คู่บุญสร้อยระย้ามามากกว่าสี่สิบปีพูดเคล้าน้ำตา เขมนัทต์กรอกตาบน รู้ทันทีเลยว่า ถ้าไม่ยอมมีหวังเป็นลูกอกตัญญูอีกเช่นเคย
“โอเคครับ ผมยอมแล้ว ผมจะปิดไฟตอนนอนกับเอม จะได้ไม่ต้องเห็นหน้า เอาให้เสร็จๆ ไป แต่เหมือนเดิมนะครับ ถ้าสามเดือนแล้วเอมไม่ท้องก็จบ คุณแม่ห้ามหาผู้หญิงให้ผมนะครับ ผมจะหาเอง” สร้อยระย้าเปลี่ยนสีหน้าทันที ความหมองเศร้าไม่มีให้เห็น
“ตามนี้เลยลูก”
สร้อยระย้าตอบตกลง หันมายิ้มกับสายพิณ นางมั่นใจว่า ทันทีที่เขมนัทต์เห็นหน้าเอมิกา จะต้องเปลี่ยนใจจากนอนเปิดไฟเป็นเปิดไฟสว่างจ้าแน่นอน
เหตุผลที่สร้อยระย้าต้องหาผู้หญิงมาเป็นแม่ของหลานเพราะลูกชายหัวแก้วหัวแหวนหวงความโสดหนักมาก นอกจากจะไม่ยอมหาคนรักเพื่อมาเป็นเมียและเป็นแม่ของลูก ยังบ้างานราวกับว่าเงินในบัญชีมีแค่หนึ่งร้อยบาท ต้องรีบหามาเข้าบัญชี ทั้งที่ในความเป็นจริง มีใช้ไม่หวาดไม่ไหว
สร้อยระย้าจึงหาผู้หญิงที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมมาเป็นแม่ของหลาน โดยตั้งกฎเกณฑ์ไว้ว่า หากภายในสามเดือนผู้หญิงคนนั้นๆ ไม่ตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาติเท่านั้น ก็ต้องย้ายออกจากบ้าน รอคนใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน ซึ่งเอมิกาจะเป็นผู้หญิงคนที่เจ็ดที่จะเข้ามาเป็นเมียบำเรอของเขมนัทต์...
เมียบำเรอที่เขาไม่ต้องการมากที่สุด
มือเรียวสวยพับเสื้อผ้าจัดเรียงใส่กระเป๋าเดินทางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ขณะนั่งจัดกระเป๋า เอมิกานึกถึงหน้าที่สำคัญหลังเรียนจบชั้นปริญญาตรี แทนที่จะหางานทำตามความฝันหรือร่ำเรียนต่อ เธอต้องกลับเมืองไทยไปเป็นนางบำเรอของชายหนุ่มรูปงาม เจ้าของน้ำเสียงดุๆ ที่มักพูดตะคอกใส่เธอเสมอ ต่างกับเวลาที่เขาพูดคุยกับโมนิก้า พี่สาวต่างบิดา น้ำเสียงจะคนละเรื่องกันเลย ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะผู้ชายมักอยากสนทนากับสาวสวยลูกครึ่ง ต่างกับเธอที่ตอนนั้นเป็นเด็กกะโปโล ผิวคล้ำ หน้าตามอมแมม
เอมิกาหวาดวิตกว่า เขมนัทต์จะต้องการตนเป็นนางบำเรอหรือไม่ เธอจำวันสุดท้ายที่เจอหน้ากันได้ดี เขาล่ำลาแค่โมนิกากับครอบครัวตนเท่านั้น ไม่มองหน้าเธอด้วยซ้ำไป เธอจึงกลัวว่า เขาอาจแสดงทีท่ารังเกียจตน หากเป็นเช่นนั้น เอมิกาคงเสียใจมาก
“นั่งหน้าเศร้าเป็นนางเอกเจ้าน้ำตาอีกแล้ว ยังคิดมากเรื่องนั้นอีกหรือไง”
โมนิก้าเหมือนรู้ใจน้องสาวต่างบิดา เธอทรุดตัวลงนั่งบนเตียง มองดูเอมิกาจัดกระเป๋า
“ก็อดคิดไม่ได้ พี่โมนาก็รู้นี่ว่า คุณเกมส์ไม่ชอบหน้าเอมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่รู้ว่าเห็นหน้าเอมจะอ้วกใส่หรือเปล่า”
“โอ๊ย! ไม่ต้องกลัวเลยเรื่องนี้ พี่ว่าพุ่งใส่แกมากกว่า” โมนิก้าคิดตรงกันข้ามกับน้องสาว “ตอนนี้แกโตเป็นสาวเต็มตัว เนื้อเป็นเนื้อ โดยเฉพาะนมแกน่ะ ใหญ่ยิ่งกว่าหัวเด็กซะอีก ที่สำคัญสวยกว่าก่อนเป็นร้อยกอง ไม่งั้นหนุ่มๆ ที่นี่คงไม่ตามจีบแกเป็นแถวยาวหรอก เชื่อฉันสิว่า คุณเกมส์เห็นแกในลุคใหม่ล่ะก็ พุ่งใส่แน่นอน”
โมนิก้าไม่ได้พูดเกินจริง เวลาเจ็ดปีมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ความเป็นเด็กในตัวเอมิกาหมดไป ตอนนี้แตกเนื้อสาวเต็มที่ โตเป็นสาวสะพรั่งราวกับดอกไม้แรกแย้ม หมู่ภมรทั้งหลายต่างพากันบินมาดอมดม ทว่าเอมิกาไม่เปิดรับใคร ราวกับว่า เธอมีใครคนหนึ่งในใจ ซึ่งโมนิก้าก็รู้ว่า คนนั้นคือใคร