ตอนที่6 รู้เท่าไม่ถึงการณ์
ตอนที่6 รู้เท่าไม่ถึงการณ์
ณิชารีบเช็ดตัวให้ชายหนุ่มด้วยความระมัดระวังเพราะบนตัวยังมีรอยฟกช้ำให้เห็นอยู่หลายจุด เมื่อเช็ดเสร็จก็เอาผ้าเช็ดตัวผืนใหม่มาพันรอบเอวก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ชายหนุ่มเปลี่ยน
“พี่หมอโดเมนบอกว่าสักพักหมอจะมาเข้าเฝือกให้ค่ะ ระหว่างนี้คุณจะนอนพักก่อนก็ได้นะคะ” ณิชาที่ทำหน้าที่เป็นพยาบาลจำเป็นเอ่ยพูดขึ้น สะโพกกลมมนนั่งลงบนโซฟาข้างเตียงผู้ป่วยโชว์เรียวขาสวยเนื่องจากวันนี้เด็กสาวใส่กางเกงขาสั้น
“ฉันโตแล้วไม่ต้องมีใครบอกว่าควรนอนตอนไหน แล้วอีกอย่างกางเกงที่มันยาวกว่านี้ไม่มีหรือไง เสื้อผ้ามีเต็มตู้ไม่เอามาใส่ชอบนักไอ้เศษผ้าพวกนี้” สายตาคมเข้มมองเด็กสาวสีหน้าไม่พอใจนักที่เด็กในการปกครองแต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อยออกจากบ้าน ถ้าชุดที่เด็กสาวใส่ตอนนี้ใส่แค่อยู่บ้านเขาคงไม่ว่าอะไร แต่นี่ใส่ออกมาข้างนอกแถมนั่งแท็กซี่มาคนเดียวอีกต่างหาก คนสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจเมื่อมีสิ่งยั่วยวนมันต้องมีการเกิดอารมณ์ความต้องการเป็นธรรมดา
“หนูรีบค่ะ พอพี่เตมินโทรบอกหนูก็รีบออกมาเลย” ณิชาพยายามอธิบายให้ชายหนุ่มฟัง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตครับ คุณหมอโดเมนแจ้งแล้วใช่ไหมครับว่าหมอซันต้องเข้าเฝือกอ่อนที่แขน” คุณหมอหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับพยาบาลเข็นรถเข็นพยาบาลเดินตามหลังเข้ามาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“แจ้งแล้วครับ จะทำตอนนี้เลยไหมครับ”
“ครับ รบกวนหมอซันนั่งตัวตรงแล้ววางแขนลงตรงนี้ครับ เหยียดแขนออกให้ตรึงแต่ไม่ต้องเกร็งมากครับ”
ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก็แล้วเสร็จ แขนด้านซ้ายถูกเข้าเฝือกอ่อนและใส่สายช่วยพยุง มีเพียงแขนด้านขวาที่สามารถใช้งานได้
“เรียบร้อยครับ ระหว่างนี้หมอซันก็อย่าพึ่งใช้แขนด้านที่เจ็บหยิบจับทำอะไรให้ใช้แขนอีกด้านไปก่อนสักระยะนะครับ หรือไม่ก็ให้เอ่อ..คนอื่นช่วยจะดีที่สุดเพราะยิ่งใช้งานน้อยที่สุดกระดูกก็จะสมานกันเร็วขึ้นเท่านั้นนะครับ” คุณหมอหนุ่มหลังจากที่เข้าเฝือกเสร็จ สายตามองไปที่ณิชาที่ยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่ม
“เสร็จแล้วใช่ไหมครับ”
“ครับเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ หมอจัดยาแก้ปวดไว้ให้ถ้ามีอาการปวดหรือมีไข้ค่อยทานนะครับ”
“ครับถ้างั้นผมขอตัวนอนพักผ่อนก่อน” ซันเดย์ออกปากไล่หมอหนุ่มทางอ้อม
“ระวังค่ะค่อย ๆ นะคะ” ณิชารีบเข้าไปพยุงชายหนุ่มเมื่อเห็นซันเดย์ตั้งท่าจะเอนหลังลงนอน
“ให้ผมช่วยไหมครับ” หมอหนุ่มที่กำลังหันหลังเดินกลับก็หันขวับกลับมาอีกครั้ง
“ไม่ต้องครับ แค่คนของผมคนเดียวก็พอครับ” เสียงเรียบตอบกลับไป
“อ้อครับ มีอะไรเรียกหมอได้ตลอดเวลานะครับ”
“แต่งตัวมาล่อเสือล่อจระเข้ เห็นสายตาไอ้หมอคนนั้นมันมองเธอไหม ทีหลังก็ให้ระวังเรื่องการแต่งตัวให้มากกว่านี้ ถึงจะรีบมากแค่ไหนก็ตาม” ซันเดย์แนะนำเด็กสาวในมุมมองคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า เด็กสาวนั่งฟังอย่างมีมารยาท
“เข้าใจค่ะ ทีหลังหนูจะระวังกว่านี้ค่ะ”
“แล้วมีงานที่ต้องทำส่งพรุ่งนี้เช้าหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ หนูทำกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเสร็จแล้วค่ะ”
กลางดึก
ณิชานอนพลิกตัวไปมาอยู่บนโซฟาข้างเตียงคนไข้เพราะเกิดอาการแปลกที่ทำให้เธอนอนไม่หลับ สายตาเหลือบไปเห็นเงาอะไรบางอย่างลอดผ่านม่านเข้ามาจึงเพ่งสายตามองดู
ตึก! ตึก! แกร็ก!
เสียงเหมือนคนเดินและเสียงเหมือนทำของอะไรตก บริเวณนั้นเป็นหน้าต่างและมีระเบียงยื่นออกไปไม่ได้อยู่ติดกับห้องอื่นเพราะห้องนี้เป็นห้องVIPเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนสามารถเข้ามาได้
ตึก! ตึก!
เสียงยังคงดังขึ้นเป็นระยะและยังมีเงาดำ ๆ ลอดผ่านผ้าม่านมาให้เห็น ณิชาจึงเกิดอาการกลัวตัดสินใจเดินไปปลุกชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่บนเตียง
“คุณคะ” มือเล็กยื่นไปสะกิดคนที่นอนหลับอยู่ให้ตื่น แต่สายตายังโฟกัสไปนอกหน้าต่าง
“มีอะไร ดึกดื่นป่านนี้แล้วไม่ยอมนอน” เสียงดุเอ่ยถามขึ้นเมื่อถูกรบกวนกลางดึก พลางหันมองตามทิศทางที่เด็กสาวมองอยู่
“หนูได้ยินเสียงเหมือนคนเดินแล้วก็มีเงาอะไรไม่รู้อยู่ตรงระเบียงค่ะ” ณิชาบอกออกไปเสียงเบาขณะที่สายตายังมองอยู่ที่เดิม
“ก็ไม่เห็นมีอะไร นอนได้แล้วพรุ่งนี้มีเรียนตอนเช้าไม่ใช่หรือไง” ซันเดย์พยายามมองหาสิ่งที่เด็กสาวบอก แต่ก็พบเพียงผ้าม่านสีขาว ไม่มีเงาและเสียงอะไรตามที่บอก และตัวเขาเองเป็นหมอไม่เชื่อเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้อยู่แล้ว
“แต่หนูเห็นจริง ๆ นะคะ” เด็กสาวยืนยันว่าเธอเห็นจริง ๆ
“ณิชา ฉันบอกให้นอนเดี๋ยวนี้”
ณิชาล้มตัวลงนอนตามคำสั่งของชายหนุ่ม ร่างบางนอนตะแคงหันหน้าเข้าพนักพิงโซฟา ยกผ้าห่มผืนหนาคลุมโปง
ตึก! ตึก!
เสียงคนเดินยังดังรบกวนการนอนหลับของเธอ เด็กสาวพลิกตัวไปมาเสียดสีกับโซฟาเกิดเสียงดังจนคนที่นอนอยู่บนเตียงทนฟังไม่ไหว
“ณิชา ลุกขึ้นมานี่”
“คะ?”
“ลุกขึ้นมานอนนี่ ถ้าขืนเธอยังนอนดิ้นอยู่แบบนี้ฉันคงนอนไม่หลับทั้งคืนแน่ ๆ”
“ขอโทษค่ะ” ใบหน้าเรียวเล็กเอ่ยขอโทษออกไปอย่างสำนึกผิดแต่ก็หอบเอาหมอนและผ้าห่มปีนขึ้นเตียงคนไข้ไปล้มตัวลงนอนข้าง ๆ ชายหนุ่ม
“ยัยเด็กปอดแหกเอ๊ย ถ้ากลัวผีขนาดนี้จะอาสามาเฝ้าฉันทำไม” เสียงทุ้มบ่นพึมพำกับเด็กสาวที่หลับสนิทหลังจากล้มตัวลงนอนได้ไม่ถึงสิบนาที ลมหายใจเข้า-ออกสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเด็กสาวนั้นเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว
แอ๊ด~ ~ ~
“ยังไม่นอนอีกเหรอวะดึกป่านนี้แล้ว แล้วนี่ทำไม….” ยังไม่ทันที่โดเมนจะเอ่ยถามจบ ซันเดย์ก็ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเงียบทันที
“ชู่..มึงจะเสียงดังทำไม”
“แล้วทำไมณิชาถึงขึ้นไปนอนบนเตียงมึงแบบนั้น อย่าบอกนะว่ามึง..” โดเมนลดระดับเสียงลงเล็กน้อย
“หยุดความคิดพวกนั้น เด็กนี่กลัวผีจนนอนไม่หลับนะสิ นอนดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนโซฟาพลอยให้กูนอนไม่หลับไปด้วย เลยต้องให้ขึ้นมานอนบนนี้ นี่หัวถึงหมอนก็หลับเลยผ่านไปยังไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ” ซันเดย์เล่าความจริงให้เพื่อนฟัง โดเมนไม่เซ้าซี้ถามอะไรต่อถึงเรื่องนี้จึงหันมาถามอาการของเพื่อน
“แล้วอาการมึงเป็นไงบ้าง มีไข้หรือเปล่า”
“ไม่มี แค่ปวดแผลนิดหน่อย แล้วนี่มึงพึ่งผ่าตัดคนไข้เสร็จเหรอ” ซันเดย์สังเกตเห็นอาการเหนื่อยล้าของเพื่อนจึงถามขึ้น
“อืม..ออกจากห้องผ่าตัดก็เดินมาหามึงนี่แหละ” เสียงเหนื่อยอ่อนตอบกลับมาพร้อมกับหนังตาที่แทบจะปิดลงอยู่รอมร่อ
“ลืมตาจะไม่ไหวแล้วไอ้ห่าเสือกไม่รีบไปนอน” ซันเดย์ขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อเห็นอาการของเพื่อนตอนนี้
“กูเดินมาดูมึงก่อนนี่ไง เห็นว่ายังไม่ตายกูก็สบายใจ งั้นกูขอตัวไปนอนก่อนแล้วกัน ฝันดีมึง” ความใส่ใจที่โดเมนมีให้ซันเดย์ตลอดถึงแม้ทั้งสองจะชอบปากร้ายใส่กันตลอด
“จะไปก็รีบไปกูไม่ใช่เมียมึงที่ต้องมาบอกฝันดีก่อนนอน” คำพูดที่แสดงถึงความห่วงใยถึงฟังดูจะไม่ค่อยลื่นหูเท่าไหร่ แต่เพื่อนรักอย่างทั้งสองย่อมเข้าใจกันดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
“ต้องเป็นเด็กคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ เหรอฮะถึงจะบอกฝันดีมึงได้”
“รีบไปเลยไอ้ห่า เดินตกตึกตายก่อนได้เป็นศาสตราจารย์นะมึง” โดเมนเป็นทั้งอาจารย์หมอที่คอยสอนนักศึกษาแพทย์ปี 5 และปี 6 รวมทั้งกำลังศึกษาทำวิจัยทางการแพทย์ชั้นสูงที่กำลังทุ่มเทอย่างหนักเพื่องานวิจัยชิ้นนี้ และอีกตำแหน่งหนึ่งคือผู้บริหารโรงพยาบาลเพราะฉะนั้นเวลาพักผ่อนของหมอหนุ่มแทบจะไม่มีเลย หลายครั้งที่ซันเดย์บอกให้โดเมนเลิกเป็นหมอแล้วหันมาดูแลงานบริหารอย่างเดียว แต่โดเมนก็ยังให้คำตอบเดิมคือ เขารักในอาชีพนี้ รักที่จะช่วยชีวิตคนไข้ การค้นคว้าวิจัยต่าง ๆ จึงไม่เคยหยุดที่จะทำและทำมาตลอดในอาชีพหมอ
“อื้อ~” เสียงครางหงุดหงิดปนเจ็บปวดเมื่อท่อนแขนฝั่งที่สามารถใช้งานได้ตอนนี้ไม่สามารถใช้งานได้ แรงกดทับจากอะไรบางอย่างทำให้ซันเดย์รีบลืมตาตื่นตามสัญชาตญาณเมื่อได้รับความเจ็บปวด
เด็กสาวใบหน้าจิ้มลิ้มนอนหลับตาพริ้มใช้แขนของเขาแทนหมอนหนุนก่อนจะใช้แขนข้างที่เข้าเฝือกเอื้อมไปดึงสายน้ำเกลือออกจากหลังมือก่อนที่มันจะดูดเลือดเขาหมดตัวซะก่อน การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มช่วยปลุกให้คนที่กำลังนอนหลับสบายรู้สึกตัวตื่น
“อื้อ..คุณตื่นแล้วเหรอคะ” แพขนตางอนสวยค่อย ๆ เปิดขึ้นอย่างงัวเงีย ใช้เวลาปรับโฟกัสภาพตรงหน้านานนับนาที ดวงตากลมโตกวาดสายตามองหาหมอนใบใหญ่ที่เธอใช้หนุนเมื่อคืนก็พบว่ามันหล่นอยู่ด้านล่างข้างเตียงฝั่งที่เธอนอน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เด็กสาวนั้นตกใจเท่ากับหยดเลือดสีแดงที่อยู่บนพื้นสี่ห้าหยด ในหัวจินตนาการถึงเรื่องที่เธอเจอเมื่อคืนทันที
“ฮือ..คุณคะเลือด เลือด ต้องเป็นเลือดของผีตัวเมื่อคืนแน่เลย ฮือ..คุณหนูกลัว” ใบหน้าเรียวเล็กซุกเข้าที่อกแกร่ง เขย่าแขนข้างที่เข้าเฝือกของชายหนุ่ม และตอนนี้นั้นได้ปีนขึ้นนั่งบนตักชายหนุ่ม
“ผีบ้าอะไรล่ะ นั่นน่ะเลือดฉันเอง ตั้งสติก่อนแล้วลงจากตักฉัน เมื่อคืนจะฆ่าฉันยังไม่พอเช้านี้เธอยังจะทำให้ฉันพิการอีกหรือไง”
“เลือด!” ณิชาดีดตัวลุกจากตักชายหนุ่มเมื่อเห็นเลือดสีเข้มเปื้อนบนผ้าปูที่นอนและหยดไปตามพื้นที่เธอเห็นก่อนหน้า และเหลือบไปเห็นเลือดสีแดงอยู่ในสายน้ำเกลือที่โดนถอดทิ้งไว้ เมื่อตั้งสติได้มือเล็กสั่นเทาเอื้อมไปกดปุ่มเรียกเจ้าหน้าที่
ภาพในฝันเมื่อคืนที่เธอฝันว่าแม่ของเธอนอนกอดเธอทั้งคืนและยังมีแขนอุ่น ๆ ให้เธอนอนหนุนทั้งคืนฉายวนซ้ำเข้ามาในหัว
“หนูขอโทษนะคะ หนูไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายคุณ” เด็กสาวหน้าเสีย ดวงตากลมโตคลอเบ้ารีบปีนป่ายลงจากเตียงไปยืนอยู่ด้านข้างเตียงด้วยความรู้สึกผิด มือสองข้างวางประสานกันอยู่หน้าขากำเข้าหากันแน่นจนเกิดรอยเล็บจิกเข้าเนื้อ
“~” ซันเดย์ไม่ได้ตำหนิและตักเตือนอะไรออกมาเพราะตอนนี้เขากำลังปวดแขนข้างที่เข้าเฝือกหลังจากโดนเด็กสาวเขย่าอย่างแรง
“หนูแค่ฝันว่าแม่มานอนกอดหนู หนูเลยนอนทับแขนคุณ” สายตาคมตวัดขึ้นมองเล็กน้อยก่อนจะกลับมาสนใจแขนของตัวเอง
“อึก” เสียงสะอื้นไห้ น้ำสีใสไหลลงอาบแก้มเนียน ทั้งกลัวทั้งรู้สึกผิดประเดประดังเข้ามาในหัว จนต้องระบายออกมาเป็นน้ำตา
“ฉันดุเธอหรือไง เงียบแล้วไปล้างหน้าล้างตา สภาพดูได้ที่ไหน” ซันเดย์ตวัดสายตาตำหนิเมื่อเห็นคนตัวเล็กร้องไห้ออกมาทั้งที่ตัวเขาเองยังไม่ได้ดุด่าอะไรสักคำ