ตอนที่ 2
ชาวอังกฤษผสมอิตาลี ทั้งสองตระกองกอดกันด้วยแววตาเปี่ยมล้นด้วยความรักที่มีต่อกัน
ภายหลังการเสียชีวิตของผู้เป็นนายใหญ่ของบ้านและภรรยา ‘ป้าช้อย’ หรือ ‘นมช้อย’ แม่เรือนใหญ่ก็คอยทำหน้าที่ดูแลบ้านเพื่อรอคอยการกลับมาของไรอัน
นมช้อยคอยรับหน้าที่ดูแลเรื่องการเรือนและคนใช้ผู้หญิงเป็นหลัก ส่วนงานภายนอกบ้าน คนรถ คนสวน ยาม และงานของผู้ชายทุกๆ อย่าง มีลุงชิตผู้เป็นสามีของนมช้อยคอยช่วยแบ่งเบาภาระรับผิดชอบอยู่ภายใต้คฤหาสน์หลังงามที่มีเนื้อที่กว่าร้อยไร่ซึ่งต้องใช้คนงานจำนวนมากเพื่อคอยดูแลความเรียบร้อย
“โน่นไงคะ...คุณไรอันกำลังเดินลงมาพอดี”
นมช้อยช้อนชำเลืองสายตาไปที่บันไดซึ่งวนเกลียวโค้งลงมาจากชั้นสองของคฤหาสน์
ไรอัน หนุ่มฉกรรจ์ผู้มีสายเลือดผสม โครงร่างสูงใหญ่มาก ทว่าสมส่วนและสง่างามในทุกสรีระ แผงอกผึ่งผาย ปั้นใหญ่กว้าง อยู่ในชุดลำลอง สวมกางเกงขายาวสีน้ำตาลหลวมๆ เสื้อเชิ้ตลายตารางเรียบ สีทึมเทาสลับขาว กระดุมเม็ดแรกนับจากแนวบนสุดของสาบเสื้อที่ไม่ได้ติดเอาไว้ เผยแพขนเลื่อมพรายเหมือนแพรไหมสีน้ำตาลไหม้แพลมออกมารำไร บางส่วนเลื้อยไล่ขึ้นมาจากแผงอกกว้าง สูงขึ้นมาเกือบถึงลำคอและใต้คาง ช่วงไหล่กว้างนั้นรับกับร่างกายกำยำ ท่วงท่าเดินดูงามสง่าสมชายชาตรี ใบหน้านั้นถูกสลักเสลาได้ราวกับประติมากรรมชั้นเยี่ยมจากฝีมือของประติมากรชั้นยอด หน้าผากกว้าง ตรงกึ่งกลางหยักเป็นรูปหัวใจ คาง กราม แผงคิ้วเข้มและกรอบดวงตาขึ้นโครงได้อย่างงดงามไร้ที่ติติง
อีกสิ่งที่สะดุดตาบนใบหน้าของไรอันจนไม่อาจละเลยได้ที่จะกล่าวถึง คือดวงตาสีน้ำตาลที่บางครั้งดูแกร่งกร้าวและบางครั้งกลับฉายแววอ่อนโยนออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ภายใต้ใบหน้าและดวงตาคู่เดียวกันนั้น
“สวัสดีครับคุณไรอัน”
ทนายประภาษเอ่ยขึ้นทันทีที่แลเห็นร่างของไรอัน
ไรอันให้เกียรติทายาทประจำตระกูลด้วยการลุกขึ้นยืน กล่าวสวัสดีออกมาก่อน สายตาจับจ้อง มองความเปลี่ยนแปลงของเด็กผู้ชายที่เคยเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อ 5 ปีก่อนอย่างไม่เชื่อสายตา
เด็กชายไรอันตัวเล็กๆ ที่เคยเห็น บัดนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปมากราวกับเป็นคนละคน ผิดหูผิดตาไปจากความทรงจำที่เคยมีต่อเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เคยได้เห็นเมื่อ 5 ปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง
“สวัสดีครับคุณทนาย”
ไรอันกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ สุขุม หนักแน่น สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ทรุดร่างกายกำยำใหญ่และความสูงเกือบสองเมตรลงนั่งยังเก้าอี้บุกำมะหยี่สีน้ำตาลตัวใหญ่
กังวานเสียงของไรอันนั้นมีความละม้ายคล้ายคลึงกับคุณคีรีผู้เป็นบิดาอยู่ไม่น้อย
“ขอโทษนะครับที่ทำให้ต้องรอนาน”
ไรอันกล่าว แววตาคมนิ่งอยู่ในท่วงท่าสุขุมนุ่มลึก
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณไรอันพร้อมแล้ว ผมขอเริ่มธุระเลยนะครับ”
ทนายประภาษเหลือบมาสบตาไรอันที่พยักหน้าและยิ้มน้อยๆ บ่งบอกว่าพร้อมฟังเรื่องราวสำคัญที่ทำให้ต้องมาพบ
ทนายประภาษหยิบเอกสารในซองสีน้ำตาลพิมพ์ทองเป็นลวดลายเล็กๆ ที่กรอบ ซึ่งผูกผนึกเอาไว้ด้วยเชือกสีขาว ที่ปมเชือกแนบอยู่กับซองมีหยดครั่งสีน้ำตาลแดงประทับตราประจำตระกูลเอาไว้
ทนายประภาษเริ่มอ่านพินัยกรรมในทันที สีหน้าของไรอันไม่ได้แสดงความกังวลถึงเนื้อหาในพินัยกรรมที่ทนายประภาษได้อ่านด้วยน้ำเสียงอันฉะฉานออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะในฐานะทายาทคนเดียวซึ่งจะต้องรับมรดกของตระกูลเอาไว้แต่เพียงผู้เดียวอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นเงินสดในธนาคารหลายพันล้าน เครื่องเพชรและทองคำที่อยู่ในตู้เซฟของธนาคาร ทั้งกิจการโรงแรม รีสอร์ท ฟาร์มโคนมที่วังน้ำเขียว ไร่ชาที่เชียงราย สวนส้มที่เชียงใหม่ และที่ดินอีกหลายพันไร่ที่คุณคีรีได้ซื้อสะสมเอาไว้ให้ลูกชายเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ที่ดินซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ของประเทศจนไรอันเองก็แทบจดจำได้ไม่หมด
และจริงอย่างที่ไรอันคาด
ภายหลังจากนั่งฟังทนายประภาษอ่านจนจบ เพราะเนื้อหาในพินัยกรรมไม่ได้มีสิ่งใดผิดแผกไปจากความคาดหมาย หากไม่รวม ‘ข้อสุดท้าย’ ซึ่งเป็นข้อสุดท้ายที่ถึงกับทำให้หัวคิ้วของไรอันขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย กับข้อความตอนท้ายที่บ่งบอกเอาไว้ว่า ‘ให้ไรอันรับเด็กสาวคนหนึ่งมาอุปการะ’
ขณะนี้ เด็กสาวผู้นี้อาศัยอยู่กับยายที่ฟาร์มร้าง เป็นฟาร์มซึ่งคุณคีรีได้รับซื้อต่อมาจากเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่กำลังป่วยหนัก และกำลังประสบกับปัญหาล้มละลายถึงขั้นไม่มีที่จะให้อยู่อาศัย
คุณคีรีรับซื้อฟาร์มจากเพื่อนสนิทคนนี้ไว้เพราะเหตุผลทางด้านมนุษยธรรมมากกว่าจะเล็งเห็นผลกำไรหรือมูลค่าใดๆ จากผืนดินที่แห้งแล้งทุรกันดารจนแทบจะปลูกพืชพันธุ์ใดๆ ไม่ได้
“ในพินัยกรรมระบุเอาไว้เพียงเท่านั้นหรือครับ?”
ไรอันถาม ดวงตายาวรีได้รูปหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความอยากรู้ถึงเหตุผลและที่มาที่ไป
“ยังมีต่ออีกนิดครับ” คุณทนายเอ่ย
“ พินัยกรรมยังระบุอีกว่าภายหลังจากคุณไรอันรับเด็กสาวคนนี้มาเลี้ยงดู และให้สิทธิ์ขาดในการตัดสินใจแก่คุณ