บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4 พบเจอพระเอกในนิยาย

คนตรงหน้าทำเพียงสะบัดชายผ้าด้านล่างและนั่งลงที่เก้าอี้อย่างวางท่า ท่านราชครูนั้นรักษาท่าทีได้ดีกว่าและเดินมานั่งประจำที่ หยุนเฟยไม่รู้ว่าควรจะนั่งที่ใด นางมองซ้ายมองขวาและมองไปพบสายตาที่จดจ้องนางอย่างสงสัยนั่น นางจึงเลือกที่นั่งตรงข้ามกับท่านอ๋องและพยายามไม่มองสบตาเขา

“ท่านอาจารย์ ขออภัยที่มาเยือนกะทันหัน ข้าเพียงได้ข่าวว่าคุณหนูใหญ่ฟื้นแล้ว ฝ่าบาทจึงมีบัญชาให้ข้ามาเป็นตัวแทนพระองค์เพื่อมาเยี่ยม ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง”

เขาหันมามองนาง สายตาที่ขัดต่อคำพูดทุกประโยคนั้นทำเอาผู้ฟังถึงกับอยากจะลุกขึ้นและไปฟาดหน้าเขาสักที

(ทำเป็นหยิ่งผยอง ใครอยากให้มากันล่ะอีตาพระเอกขี้เก๊ก ทำไมพระเอกในนิยายเป็นลักษณะแบบนี้ทุกคนกันนะ แต่ก็นะ เขาเป็นพระเอกนี่เนอะ ผิดบุคลิกไปจากนี้ก็ไม่ใช่พระเอกแล้ว แต่เสียใจเพราะฉันลงเรือพระรองตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาแค่ยังไม่โผล่มาเท่านั้นละย่ะ)

“คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!!”

“คะ เอ่อ…เจ้าคะ ไม่ใช่ เพคะ พระองค์ทรงตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ”

ท่านอ๋องหลับตาพร้อมกับข่มความโมโหเอาไว้เพื่อพยายามพูดกับนาง เขาไม่นึกอยากจะมาเท่าใดนักหากว่ามิใช่พระบัญชาของฝ่าบาทให้มาเยี่ยม “ว่าที่คู่หมั้น” ที่ได้มาอย่างคิดไม่ถึงเช่นนาง

“ข้า…ถามเจ้าว่า…อาการของเจ้าดีขึ้นแล้ว…งั้นหรือ”

(ดูท่าพยายามเค้นคำพูดนั่นเข้าสิ ไม่อยากถามก็อย่าถามสิอีตาขี้เก๊ก อยากคุยด้วยตายล่ะ)

“หม่อมฉันสบายดีแล้วเพคะ อย่างที่พระองค์เห็น เดินสะดวกแล้ว”

“เช่นนั้นก็ดี ข้าเองก็หมดธุระแล้ว จื่อลู่ ของเยี่ยม…มอบให้คุณหนูใหญ่เสียสิ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านอ๋องเพคะ”

เขาหันมามองนางด้วยสายตาที่รำคาญอีกครั้งอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย แม้ว่าท่านราชครูยังนั่งอยู่เช่นนี้เขาก็หาได้เกรงใจไม่ เพราะชื่อเสียของฟางหยุนเฟยคนเดิมทำให้เขาไม่นึกอยากแม้แต่จะพูดคุยกับนาง

“มีอะไรอีก”

“หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับพระองค์เป็นการส่วนตัว”

“คุณหนูใหญ่ขอรับ คือว่าท่านอ๋อง..คงไม่สะดวกเท่าใดนัก”

“ไม่นานหรอกเพคะ หม่อมฉันทราบดีว่าไม่ได้อยากจะคุยมาก หม่อมฉันเองก็เช่นกัน รับรองว่าจะไม่รั้งพระองค์ไว้นาน”

สายตาที่มองเขากลับทำให้ท่านอ๋องถึงกลับแปลกใจไปเล็กน้อย แม้ว่าฟางหยุนเฟยที่เขารู้จักมาก่อนหน้านี้จะเป็นสตรีที่น่ารังเกียจแห่งเมืองหลวง แต่สายตาแน่วแน่และมั่นใจเช่นนี้เขาพึ่งเห็นเป็นครั้งแรก

“จื่อลู่ อย่าเสียมารยาท ท่านอาจารย์เช่นนั้นข้าคงต้องขอรบกวนสักครู่”

“เชิญท่านอ๋องตามสบายพ่ะย่ะค่ะ”

ฟางหยุนเฟยเองก็รู้สึกเริ่มจะเกลียดขี้หน้าท่านอ๋องผู้ถือดีนี้อยู่ไม่น้อย นางเองเมื่อเจอสายตานั่นก็ทำให้ตัดใจจากความหล่อที่บดบังตาครั้งแรกได้ในทันที

“เช่นนั้นเชิญเสด็จเถิดเพคะ”

เขาเดินตามนางมานั่งโต๊ะในสวนด้านหลังของสกุลฟาง สาวใช้ยกน้ำชามาให้และเดินออกไป เขาเองก็สั่งให้องครักษ์ออกไปเช่นกัน

“จะให้เขาอยู่หม่อมฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกเพคะ อย่างไรเรื่องนี้ก็คงมิใช่ความลับอีกต่อไป”

“เจ้ามีอะไรจะพูดก็รีบพูดเถอะคุณหนูใหญ่ เจ้าพึ่งจะหาย ไม่ควรออกมาตากลมเช่นนี้นาน ๆ”

“ได้เพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันจะเข้าเรื่องเลย”

“เจ้าไม่นั่งก่อนหรือ”

“ไม่จำเป็นเพคะ หม่อมฉันเพียงจะพูดกับพระองค์ไม่กี่ประโยคเท่านั้น”

“เช่นนั้นเจ้าก็พูดมาเถอะ”

เขาเองก็ลุกขึ้นมายืนข้าง ๆ นางเช่นกัน เขาคิดไปเองหรือไม่ว่าพอนางไม่แต่งแต้มใบหน้าด้วยเครื่องประทินโฉมที่จัดจ้านและแต่งกายสีฉูดฉาดจนน่ารำคาญแก่สายตา นางกลับดูดีมากกว่าเดิมมากนักจนเขาเผลอมองเมื่อนางหันมา สายตานั้นมองเขาจนใจเขาเริ่มเต้นผิดจังหวะอย่างน่าแปลกใจ

“หม่อมฉันอยากจะยกเลิกงานหมั้นที่พูดออกไปในวันก่อนเพคะ”

“เจ้าว่าอะไรนะ!!”

“พระองค์เข้าใจไม่ผิดหรอกเพคะ หม่อมฉันอยากเลิกกับพระองค์ งานหมั้นระหว่างพวกเราจะไม่มีวันเกิดขึ้น หม่อมฉัน…”

นางโค้งคำนับให้เขาอย่างเต็มพิธีการเพื่อขออภัยจนท่านอ๋องมองนางราวกับพึ่งรู้จักนางเป็นครั้งแรก

“ขออภัยที่ทำให้พระองค์ต้องเสื่อมเสียเกียรติ เสียชื่อเสียงที่ต้องเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้ แต่นับจากนี้หม่อมฉันหวังเพียงว่าหลังจากเรื่องยกเลิกงานหมั้นจบลงแล้ว หม่อมฉันจะไม่มีภัยถึงชีวิตอีก”

“นี่เจ้า..คิดว่าเรื่องที่เจ้าถูกทำร้าย เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ”

“จะใช่ หรือไม่ใช่ในตอนนี้ก็มิใช่ธุระของพระองค์เพคะ นี่คือเรื่องที่หม่อมฉันจะบอก ขอประทานอภัยจริง ๆ กับทุกเรื่องที่หม่อมฉันปากพล่อยและบังอาจประกาศออกไปเช่นนั้นโดยที่พระองค์มิได้ทราบมาก่อน จากนี้หม่อมฉันขอให้พระองค์พบกับผู้ที่พระองค์รักอย่างจริงใจเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องจะพูดเพียงเท่านี้ ทูล…”

“เดี๋ยวก่อน!!”

หยุนเฟยเงยหน้าขึ้นมามองเขาที่มีสีหน้าตกใจกึ่งแปลกใจและไม่เชื่อหูตัวเองที่ยืนฟังนางพูดอย่างสุภาพมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ เขาถึงกับหันมามองใบหน้านางอีกครั้ง

สายตาของนางที่จ้องเขากลับมาทำเอาใจเขาสั่นและเต้นแรงอีกครั้งอย่างน่าแปลกใจ จู่ ๆ วันก่อนในงานเลี้ยงชมโบตั๋นในวัง นางก็ประกาศกับเหล่าบรรดาสตรีในงานว่าจะแต่งงานกับเขาและจะหมั้นกันเร็ว ๆ นี้ แต่เมื่อผ่านมาไม่ถึงสิบวันนางกลับมาบอกว่าจะไม่มีการหมั้นนี้เกิดขึ้นงั้นหรือ

“เจ้า…คิดดีแล้วงั้นหรือ”

“เพคะ ท่านอ๋องก็มิได้ชอบพอหม่อมฉัน ออกจะรังเกียจด้วยซ้ำไป ไม่มีเหตุผลที่จะต้องฝืนพระทัยเพคะ”

เขาหันไปมองสายตาของนางที่นึกถึงตัวเองเช่นนั้น ใจเขาหวิวไปเล็กน้อย นี่คือความเห็นใจอย่างนั้นหรือ แต่ว่านางก่อนหน้านั้นกับนางตรงหน้าเขาในตอนนี้…..ท่าทางของคนตรงหน้ากลับทำให้เขาสับสน

“ดังนั้นในเมื่อพระองค์มิได้ชอบพอหม่อมฉัน และตัวหม่อมฉันเองก็ทำไปเพราะความปากไว นอกจากคำขอโทษแล้ว หม่อมฉันสัญญาว่าต่อไปหากพบเจอพระองค์อีกก็จะไม่เข้าไปยุ่งและก่อกวนให้พระองค์พบเจอเรื่องเสื่อมเสียเพราะหม่อมฉันอีก หากเลี่ยงมิได้ก็จะแค่ทักทายพระองค์และพยายามมิให้พระองค์อึดอัดพระทัยอีก เช่นนี้หวังว่าพระองค์จะพอพระทัยนะเพคะ”

“เจ้า…ที่เจ้าพูดมานั่น เจ้าพูดจริง ๆ งั้นหรือ”

“จริงแท้แน่นอนเพคะ เฮ้อ….ได้พูดออกไปแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันก็คงต้องขอตัวก่อนเพคะ ดังที่พระองค์ตรัสเมื่อครู่ หม่อมฉันพึ่งจะหายป่วยไม่ควรอยู่ข้างนอกตากลมเช่นนี้นาน ๆ ทูลลาตรงนี้เลยนะเพคะ”

นางยิ้มและถวายความเคารพเขาซึ่งก่อนหน้านี้นางไม่เคยทำ นางไม่เคยเรียกเขาว่าท่านอ๋องอย่างสุภาพเช่นนี้ด้วยซ้ำไป เพราะนางถือว่าตนเองเป็นบุตรของอาจารย์เขา นางจึงเอาแต่เรียกเขาว่า “พี่เว่ยหราน”

เขาเองก็ไม่ได้ชอบให้นางเรียกเช่นนั้น แต่วันนี้ที่นางเรียกเขาว่า “ท่านอ๋อง” กลับทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ ยิ่งนางเดินจากไปและกลับไปที่เรือนของตัวเองโดยทิ้งเขาไว้คนเดียว เขายิ่งทำตัวไม่ถูก

“เลิกงั้นหรือ ข้า…ควรดีใจถึงจะถูกสิ แต่ทำไม….”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel