2.1
2.
“คุณหนู ตื่นได้แล้ว” เสียงกระซิบดังอยู่ข้างหู แม้สำเนียงจะ แปล่งๆ ไปบ้าง เจียอีพลิกตัวหลบ ยกหมอนที่หนุนศีรษะขึ้นปิดทับดวงตา
“สายแล้วเจ้าค่ะ วันนี้คุณหนูต้องออกไปข้างนอกนะ” เสียงเดิมพยายามเตือน และปลุกให้เจียอีตื่นจากห้วงฝัน
“ขอนอนต่ออีกหน่อยไม่ได้เหรอ” เจียอีพึมพำตอบ
“ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่านกับฮูหยินกำลังรออยู่ วันนี้เราต้องออกเดินทางไปจี๊อันกันแล้ว”
เจียอีลืมลืมตาโพลง สิ่งแรกที่ดวงตาจับได้คือผ้าโปร่งสีอ่อน เปลือกตาเธอกะพริบปริบๆ ก่อนจะค่อยๆ ทรงตัวลุกขึ้นนั่ง พลางมองไปรอบๆ ตัวพร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจ...ที่นี่ที่ไหน?...ทุกอย่างรอบตัวไม่คุ้นตาเลย
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้ายิ่งดูแปลกตาไปใหญ่
“ที่นี่ที่ไหนกัน” เธอพึมพำ
“คุณหนู เป็นอะไร ไม่สบายหรือเจ้าคะ”
“คุณเป็นใครคะ?”
“คุณหนูหมายถึงอะไร หยวนเหวินไงเจ้าคะ ข้าเป็นบ่าวรับใช้ของคุณหนู”
“บ่าวรับใช้”
“ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูลืมอีกแล้วสินะ ไหนท่านหมอบอกว่าคุณหนูหายดีแล้วไง” หยวนเหวินบ่นพึม คุณหนูเล็กสกุลเฉินมักหลงๆ ลืมๆ ทุกครั้งที่ฝนตก เป็นโรคแปลกประหลาดที่ไม่มียารักษาก็มักจะกำเริบ แม้นายท่านสกุลเฉินจะพยายามหาหมอที่ดีที่สุดมารักษาบุตรสาว ก็ทำได้แค่บรรเทาอาการเลอะเลือนนั่นได้ชั่วคราว
“หมอ ข้าป่วยเหรอ?” เจียอีถามเสียงหลง
“ใช่เจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวข้าจะไปยกยาต้มมาให้ วันนี้คงไม่ต้องออกไปไหนแล้ว” หยวนเหวินส่ายหน้า ถอนใจดังเฮือกๆ
“หิวหรือยังเจ้าคะ ข้าจะไปยกข้าวต้มมาให้”
“เดี๋ยว ตอบมาก่อนสิ ที่นี่ที่ไหนกัน” เจียอีรั้งไว้ พยายามซักถาม เธอไม่ได้กำลังฝัน ทุกสิ่งที่เห็นนี่คืออะไร
“ที่นี่ก็เรือนสกุลเฉินไงเจ้าคะ”
“เรือนสกุลเฉิน แล้วข้ามีชื่อว่าอะไรละ” เจียอีถามต่อ
“คุณหนูเฉินเจียอีไงเจ้าคะ” หยวนเหวินตอบพร้อมกับยิ้มจางๆ นางชินกับท่าทางเลอะเลือนของนายสาวแล้ว ทุกครั้งหลังฝนตก คุณหนูคนเล็กของสกุลเฉินก็มักจะมีอาการเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่
“ไม่สิ พ่อกับแม่ข้าตายแล้ว ไม่มีทาง!!” เจียอีส่ายหน้าพึมพำเบาๆ
ก่อนจะเม้มปาก ทำท่าเหมือนจะลุกพรวดพราด
“เจียอี เป็นอย่างไรบ้างหยวนเหวิน” เสียงคุ้นหู กับการปรากฏตัวของใครบางคน เจียอีเบิกตาโต ไม่มีทางที่ตนเองจะลืมโคงหน้าคนที่ให้กำเนิดตนเอง
“แม่จ๋า แม่ยังไม่ตาย” เจียอีถลาลงจากที่นอน พุ่งเข้าใส่มารดาที่อ้าแขนรับ
“ดูสิ คงขวัญเสีย แม่ของเจ้าไม่มีทางจากโลกนี้ไปก่อนเจ้าอย่างเด็ดขาด” อ้อมแขนอบอุ่น เสียงที่แฝงไว้ด้วยความรัก เจียอีเกลือกใบหน้ากับเนินทรวงอวบอุ่น พร้อมทั้งพร่ำพรรณนาความคิดถึงที่กดอัดเอาไว้
“แม่จ๋า หนูขอโทษ หนูจะไม่ดื้ออีกแล้ว หนูจะเชื่อฟังทุกคำที่แม่บอก”
“ไม่ดื้อ ดีแล้ว เชื่อฟังนะ” จือรั่วลูบไล้แผ่นหลังบุตรสาวเบาๆ ดวงตาแจ่มใสเต็มไปด้วยกลิ่นอายความรัก
“กอดกันกลมเชียวนะ แม่ลูกคู่นี้” เจียอีผงกศีรษะออกห่างอกอุ่นของมารดา ดวงตาของเธอขยายกว้าง บุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า เจียอียกมือขยี้เปลือกตา ครางเสียงแผ่วๆ “พ่อเหรอ”
“ลูกคนนี้ ลืมแม้กระทั่งหน้าพ่อตัวเองเชียวรึ” เจียชวนสัพยอกบุตรสาว พลางทรุดนั่งอีกฟากของเตียง
“แม่จ๋า ที่นี่คือสวรรค์ใช่ไหม หนูตายไปแล้วจริงๆ เหรอ” เจียอีถามเสียงแผ่วลง ไม่มีทางที่บิดา มารดาจะยังมีชีวิตอยู่ ยกเว้นตนเองตายตามพวกท่านไป
“เหลวไหล” จือรั่วดุบุตรสาวเสียงแข็ง “เจ้าแค่ไม่สบาย ตายเตยอะไรกันละ!!”
เจียอีกะพริบเปลือกตาปริบๆ มองสบตาบิดาที่กำลังมองมาที่ตนเอง
“พ่อหาหมอที่เก่งที่สุดในเมืองมารักษาเจ้าแล้ว ก่อนที่เดินทางไปจี๊อัน เจ้าต้องหายขาดจากโรคประหลาดนี่อย่างแน่นอน” เจียวชวนกล่าวเสียงขึงขัง
“จี๊อัน” เจียอีพึมพำ
“เจ้าน่าจะลืม พ่อของเจ้าได้รับคำสั่งจากวังหลวงให้เดินทางไปรับตำแหน่งผู้ว่าการเมืองที่นั่น” จือรั่วอธิบายซ้ำ นางไม่รู้สึกเหนื่อยหรือรำคาญ หากต้องกล่าวย้ำกับบุตรสาวคนสุดท้องอีกหลายครั้ง
“ผู้ว่าการเมือง”
“ดีใช่ไหมละ ที่จี๊อันเป็นเมืองเล็กๆ ก็จริง แต่ที่นั่นมีของกินอร่อยๆ ที่เจ้าชอบหลายอย่างเลยนะ” เจียชวนกล่าวพร้อมกับยิ้ม
เจียอีหน้าเบ้ พยายามนึกภาพเมืองที่บิดากล่าวถึงให้ออก แม้จะรู้สึกแปลกๆ ไม่ว่าจะเครื่องเรือนหรือการแต่งกาย มันแปลกตาไปทุกอย่าง สิ่งเดียวที่ทำให้เจียอีไม่ใส่ใจคือ การมีพ่อแม่อยู่ตรงหน้า นั่นก็เพียงพอแล้ว
หยวนเหวินถือถาดใส่ถ้วยข้าวต้มควันกรุ่นเดินเข้ามา “กินข้าวต้มก่อนสักนิดดีไหมเจ้าคะคุณหนู”
“นั่นสิ กินข้าวก่อนเจ้าจะได้แข็งแรง” จือรั่วก้มมองบุตรสาวในอ้อมกอด แล้วก็กระซิบปลอบเสียงทุ้มนุ่ม
“พ่อออกไปดูคนงานก่อนนะ แม่เจ้าคนเดียวก็น่าจะพอแล้วมั้ง” เจียชวนทรงตัวยืน ยังมีงานอีกมากมายที่เขาต้องรีบไปจัดการ ก่อนจะย้ายถิ่นฐานเพื่อรับตำแหน่งใหม่
เจียอีรับถ้วยข้าวต้มมาถือ ท้องเธอร้องโครกคราก คงเพราะร่างกายต้องการพลังงาน เธอตักข้าวต้มกิน พลางมองหน้ามารดาไปด้วย ที่นี่ที่ไหนก็ช่างเถอะ หากบิดา มารดายังมีชีวิตอยู่ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว...