ตอนที่ 1
“คนเถื่อนที่รักเธอ”
โดยกาสะลอง
รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย
ใกล้ค่ำ ที่ฟาร์มปศุสัตว์แห่งหนึ่ง ใกล้กับเมืองเล็กๆที่ซ่อนตัวเงียบเชียบอยู่ในหุบเขาคิมเบอร์เลย์* พระอาทิตย์ดวงกลมโต ลอยเรี่ยต่ำเกือบแตะเส้นแนวขอบฟ้า ระบายสีส้มอมแดง ฝากลำแสงสุดท้ายของวันเอาไว้ก่อนจะลาลับ แลเห็นเป็นประกายแฉกฉาย แตกเป็นริ้วรายคลี่ล้อมดวงอาทิตย์และหมู่เมฆรายรอบ
ที่เบื้องทิศตะวันตก มีภาพของฝูงนกในบรรยากาศย้อนแสง กำลังพากันบินกลับรัง แลเห็นเป็นกลุ่มสีดำรางๆ เขยื้อนขยับตามกันมาเป็นเส้นสาย เบื้องล่างมีทุ่งข้าวสาลีสีทองอร่าม เป็นความงดงามที่แฝงอยู่ในบรรยากาศอันแร้นแค้นและแห้งแล้งของพลบค่ำใกล้ฟาร์มแห่งหนึ่ง ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นงดงามราวกับภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบของจิตรกรผู้ตั้งใจบรรจงสร้างสรรค์ด้วยปลายพู่กันอย่างสุดฝีมือ
แลออกไปยังประตูที่จะผ่านเข้าไปในฟาร์ม ได้ยินเสียงกรุบกรับจากฝีเท้าม้าซึ่งกำลังควบเข้ามาด้วยพละกำลังความเร็วสูง ใกล้เข้ามาทุกขณะ แลเห็นฝุ่นสีจางคลุ้งกระจาย ตลบไล่หลังม้ามาแต่ไกล ท่วงท่าของม้ายังดูแข็งแกร่ง ทรงพลัง แม้จะเหนื่อยล้า กระหายทั้งหญ้าและน้ำ พอๆกับร่างสูงใหญ่ของชายที่คร่อมควบอยู่บนหลังของมัน
ดวงตาของเขายังคงฉายประกายแกร่งกร้าว แม้จะเหนื่อยล้ากับการรอนแรมฝ่าไอระอุร้อนของเปลวแดดในแถบถิ่นทุรกันดารมาด้วยระยะทางไกลแสนไกล ยืนยันด้วยสายเหงื่อที่แฉะชื้นไปทั่วแผงอกและหลังไหล่ บ้างไหลเรี่ยอยู่ข้างขมับที่แลเห็นเส้นเลือดสีเขียวกระตุกตุบไปตามจังหวะชีพจรและเลือดร้อนในกายที่สูบฉีดแรงขึ้นทุกขณะ เมื่อสายตาแลเห็นเงารางๆของโรงเรือนอันเป็นจุดหมายปลายทางเบื้องหน้า จุดหมายซึ่งชายผู้อยู่บนหลังม้าอาวรณ์ถวิลถึงมันอยู่ตลอดเวลาที่ต้องห่างไกล
----
เทือกเขาคิมเบอร์เลย์* อยู่ในเขตที่ราบสูงภาคตะวันตกของออสเตรเลีย (Western Plateau) ซึ่งมีพื้นที่มากกว่าครึ่งทวีป ประกอบด้วยที่ราบชายฝั่งแคบๆ และที่ราบสูงเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีภูมิประเทศที่เป็นเขตทะเลทรายกระจายอยู่หลายแห่ง เช่น ทะเลทรายเกรตแซนดี ทะเลทรายกิบสัน ทะเลทรายเกรตวิกตอเรีย
----
ม้าค่อยๆชะลอความเร็ว ในช่วงที่มันวิ่งผ่านทางดินอันแห้งแล้งเข้ามาภายในอาณาบริเวณฟาร์ม ซึ่งสภาพของมันเมื่อแลดูด้วยสายตาจากภายนอก น่าจะเรียกว่าเป็นฟาร์มร้างมากกว่าจะมีผู้คนอยู่อาศัย แต่ควันไฟสีขาวจางที่ลอยเป็นสายรางๆขึ้นมาจากท้ายฟาร์ม ก็ยืนยันว่ายังมีคนอาศัยอยู่ที่ฟาร์มร้างแห่งนี้อย่างแน่นนอน
ยิ่งเข้ามาใกล้ ความคิดถึงและห่วงใยของชายผู้อยู่บนหลังม้ายิ่งทวีคูณรุนแรงขึ้นทุกขณะจิต
เร็วเท่าความคิด เขากระตุกบังเหียนชะลอม้า มันตอบรับด้วยการลดฝีเท้าแล้ววิ่งเหยาะๆเลาะลัดเนินหญ้าเข้ามาจนใกล้จะถึงตัวบ้าน วิ่งผ่านกังหันลมสูงตระหง่าน ใบพัดของมันซึ่งแลดูเหมือนแขนของคนที่เหยียดจนสุดช่วงแขน หมุนอย่างอ่อนล้า อ้อยอิ่ง เหนื่อยหน่ายในวันเวลาที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
ชายผู้อยู่บนหลังม้ากวาดสายตาสำรวจความยากแค้นเบื้องหน้า ท่ามกลางทิวทุ่งสีน้ำตาลแล้ง มองเห็นพุ่มไม้ไร้ใบ ยืนต้นตายอยู่ระหว่างสองฝากของแนวถนน ไม่อาจทนกับความร้อนแล้ง พุ่มพงวัชพืชเตี้ยๆค้อมกิ่งร่วงลู่ลงสู่พื้น ยอมจำนนต่อโชคชะตา หรือไม่ก็โค้งคำนับให้กับการมาของเขา
ใบไม้กรอบแห้ง กรังเกรอะไปด้วยฝุ่นลูกรังสีแดง สายลมแล้งที่พัดกรรโชกมาช่วงหนึ่ง ปลิดใบไม้ปลิวคว้างต่อหน้าต่อตา ร่วงหล่นลงทับถมที่โคนต้น แลเห็นใบสีน้ำตาลกรอบแห้งเกลื่อนกระจายอยู่ใต้ลำต้นสูงใหญ่ที่แทบไม่หลงเหลือใบเอาไว้เป็นอนุสรณ์
ชายร่างสูงใหญ่ คร่อมขี่อยู่บนหลังม้า ทอดสายตามองดูสภาพของฟาร์มด้วยความรู้สึกสะท้อนสะเทือนใจ แลเห็นฟ่อนฟางอัดก้อน ซึ่งครั้งหนึ่งมีไว้สำหรับเลี้ยงวัวและม้า วันนี้มันกลับถูกทิ้งเอาไว้ให้ผุสลายไปตามเวลา แลเห็นเห็ด รา เกลื่อนกระจายไปทั่วก้อนฟางที่วางกองทับถม ใกล้ๆกับซากไม้ประตูเก่าผุ บางส่วนพังพาดไปกับแนวรั้วไม้ซึ่งหักกอง ถมทับกันอยู่สองข้างทาง
สภาพของฟาร์มโดยรวมเกือบจะร้าง สะท้อนถึงสถานภาพอันคลอนแคลนของผู้เป็นเจ้าของฟาร์ม ซึ่งชีวิตความเป็นอยู่นับวันยิ่งตกต่ำย่ำแย่ ไม่ว่าจะกวาดสายตาไปทางไหน นอกจากความแร้นแค้น ก็แลไม่เห็นความน่าอภิรมย์ใดๆหลงเหลืออยู่ที่ฟาร์มแห่งนี้ ยังมองไม่เห็นสัญญาณของความเปลี่ยนแปลงใดๆที่บ่งบอกว่าสถานภาพของฟาร์มแห่งนี้กำลังจะดีขึ้น เพราะทุกวันนี้ เจ้าของฟาร์มก็ยากจนถึงกับ