บทที่ 3 อาชายสามของหันเฉิน
บทที่ 3 อาชายสามของหันเฉิน
“มันเป็นงานปาร์ตี้ครอบครัวของบ้านคุณ ฉันไป...คงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่มั้งคะ?” เซิ่งหวั่นซิงลังเลใจ อันที่จริงเธอนั้นกลัวคนตระกูลบ้านลู่ “ฉันไม่ไปดีกว่าค่ะ”
ลู่หันเฉินยื่นมือไปกุมมือเธอไว้แน่น ยิ้มพูดว่า “ยัยบื้อ มันจะไม่เหมาะสมยังไงหล่ะ? คุณเองก็เป็นส่วนหนึ่งของบ้านผมนะ อีกอย่างผมจะอยู่ข้างๆเป็นเพื่อนคุณเอง”
พอได้ยินลู่หันเฉินพูดอย่างนี้ หัวใจของเซิ่งหวั่นซิงก็รู้สึกอุ่นใจ
“ค่ะ” ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงานกับหันเฉิน เพราะฉะนั้นเธอก็จะต้องลองไปเรียนรู้ที่จะยอมรับครอบครัวของเขาด้วย
เซิ่งหวั่นซิงฝืนยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย ในใจจู่ๆก็รู้สึกมีอะไรมาสะกิด
พอไปถึงสถานี เซิ่งหวั่นซิงที่ใส่รองเท้าส้นสูงอยู่ ก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง โยนกระเป๋าไปที่เก้าอี้แล้วก็นั่งลงไป
หางตาของเมยเมยเห็นเธอ เลื่อนเก้าอี้เข้ามาใกล้ตรงหน้าของเซิ่งหวั่นซิง “หวั่นซิง เมื่อคืนเป็นไงบ้าง? คงจะเป็นค่ำคืนที่ช่างสวยงามสิท่า! เป็นไงฟินไหม?”
“ฟินบ้าฟินบออะไรกันหล่ะ!” เซิ่งหวั่นซิงอารมณ์เสียไปพร้อมกับปิดฝาปากกา แล้วดีดไปที่หน้าผากของเมยเมย “เมื่อคืนฉันดื่มจนเมาซะขนาดนั้น เธอยังกล้าทิ้งฉันไว้ที่โรงแรมคนเดียวนะ!”
เมยเมยตะโกนร้องว่าเจ็บ “เธอยังมีหน้ามาว่าฉันอีกงั้นหรอหวั่นซิง เธอนะ พอเมาทีไร ไม่ว่าใครก็ขัดเธอไม่ได้อยู่แล้วหรือเปล่า?”
เพื่อนร่วมงานที่อยู่โต๊ะข้างๆก็พูดขึ้น “ใช่ใช่หวั่นซิง เธอนะดื่มไปได้สักพักหนึ่ง ก็อยากจะถอดกางเกงของฉันกับเหล่าหลิว แล้วยังจะให้พวกเราขึ้นไปแก้ผ้าเต้นรำอีก!”
“…”
เซิ่งหวั่นซิงอายจนแทบจะเอาปี๊บคลุมหัว บอกแล้วไงว่าดื่มสุราจะทำให้เกิดเรื่อง ภาพในสมองของเธอจำได้ว่าดื่มเหล้าขาวไปแค่ไม่กี่แก้วเอง
เอาสิทีนี้ พรหมจรรย์ก็เสียไปแล้ว แถมยังไม่รู้อีกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร!
“เป็นอะไร...หวั่นซิง เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรอ? เมื่อคนทุกคนกลับกันหมด มีแต่เธอที่ร้องโวยวายบอกว่าจะนอนที่โรงแรม หรือว่า...”เมยเมยแสยะยิ้มร้ายๆ แอบมองไปที่แขนของเซิ่งหวั่นซิง “หรือว่าจะเข้าบทเหมือนในนิยายที่ว่า หลังเมาเหล้าแล้วปีนขึ้นเตียงผู้จัดการ อย่างนั้นหน่ะหรอ?”
“อย่าพูดไปเรื่อย! ไป ไป ไปไกลๆเลยไป ฉันจะทำงาน!”
เซิ่งหวั่นซิงหงุดหงิดมาก ตอนนี้เธอสติแตกทุกครั้งเมื่อได้ยิน “เมื่อคืน” สองคำนี้ ในสมองก็จะมีภาพคนร่างสูงใหญ่ที่มาประคบตัวเธอ อ้ายยยยยยย หัวใจแทบสลาย!
ตอนนี้เธอไม่มีกะจิตกะใจไปคิดหรอกว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นฐานะอะไร แม้แต่หน้าตาของเขา เธอก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นอย่างไร?!
ตกดึก ลู่หันเฉินก็มารับเซิ่งหวั่นซิงตามเวลาที่นัดไว้ ลานจอดรถของบ้านลู่นั้นอยู่ด้านนอก มีรถมายบัคสีดำที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครที่จอดไว้ตั้งแต่แรก ตัวรถใหญ่ หรูดูมีระดับมาก
เซิ่งหวั่นซิงรู้สึกประหลาดใจ “หันเฉิน คุณลุงซื้อรถคันใหม่มาหรอ?”
ลู่หันเฉินมองแวบหนึ่ง “น่าจะเป็นของอาชายสาม ป่ะ เข้าไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนเดินเข้าทางเดินที่สวนแล้วมุ่งตรงไปที่บ้าน ระหว่างทางลู่หันเฉินได้รับข้อความหนึ่ง เขาหยิบขึ้นมามองหน้าจอไปแวบนึง ฝีเท้าที่เดินอยู่ก็ช้าลง
เซิ่งหวั่นซิงไม่ทันได้สังเกต หลังจากที่กดกริ่งเสร็จและกำลังจะหันไปคุยอะไรบางอย่างกับลู่หันเฉิน ถึงได้เห็นว่าเขาอยู่ห่างจากตัวเองมาก และกำลังปัดหน้าจอโทรศัพท์ ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“หันเฉิน!” เซิ่งหวั่นซิงตะโกนเรียก
ลู่หันเฉินมือกระตุกไปหนึ่งที รีบเก็บโทรศัพท์แล้วเดินไป เซิ่งหวั่นซิงพูดว่า “มัวแต่ทำธุระจนไม่เดินแล้วเนี่ย? เอาโทรศัพท์มานี่ เดี๋ยวฉันจะพูดตักเตือนผู้ช่วยของคุณสักหน่อย”
“ไม่เป็นไร แค่ตอบเมล์เองแป๊ปเดียว” ลู่หันเฉินยิ้มแล้วเอาโทรศัพท์เก็บเข้าไปในกระเป๋า มืออีกข้างโอบไปที่ไหล่ของเธอ “เข้าไปกันเถอะ”
เพิ่งจะเดินเข้าไปในบ้าน เซิ่งหวั่นซิงก็รู้สึกถึงบรรยากาศในห้องรับแขกที่ครึกครื้น ทั้งป้าสามและญาติคนอื่นๆของบ้านลู่ต่างก็มากันเกือบทุกคน!
ลู่หันเฉินพาเซิ่งหวั่นซิงไปทักทายกับทุกๆคน ญาติผู้ใหญ่ของบ้านลู่ต่างก็ใช้สายตาแปลกๆมองเธอ เซิ่งหวั่นซิงก็ทำเหมือนไม่เห็น พูดกล่าวทักทายเสร็จก็เดินไปหาที่ว่างแล้วก็นั่งลง
อาหารค่ำถูกจัดเตรียมเสร็จอย่างรวดเร็ว ทุกคนก็ลุกเดินไปที่โต๊ะอาหาร
เวลานั้นเอง ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งประคองคุณปู่ลู่เดินลงมาจากชั้นสอง
ผู้ชายคนนั้นสวมใส่เสื้อเชิ๊ตกางเกงสูท แขนเสื้อพับขึ้นเล็กน้อย โชว์แขนที่เล็กบางออกมา
รูปร่างสูงใหญ่ ขนคิ้วดกดำสวยงามและแหลมคม โครงรูปหน้าที่หล่อ ดูดี แต่กลับรู้สึกถึงความเยือกเย็น