ฉ่ำรัก ที่ 5 ทองปลอมโบยบิน
ฉ่ำรัก ที่ 5
ทองปลอมโบยบิน
อิสระ...
ท่าทีที่นางมีต่อชายนิรนามเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อรู้ว่าเขามีสิทธิ์ในพรหมจรรย์ที่เฝ้าหวงแหน ซือเซียนจึงมองเขาอย่างระแวดระวังก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงหมายจะวิ่งหนี แต่กลับถูกข้อมือหนาคว้าเอวบางมารวบไว้ แค่กระชากเพียงนิดนางก็เซกลับเข้ามาในอ้อมกอดแข็งแกร่งของแม่ทัพหม่าอย่างง่ายดาย
“ปะ...ปล่อย ได้โปรดปล่อยข้า”
หญิงสาวเสียงสั่นแหบพร่าราวกับน้ำเสียงจะขาดหาย เนื้อตัวสั่นเทาเย็นเฉียบ ใบหน้าซีดขาว ดวงตากลมโตเบิกกว้างจ้องมองเจ้าของอ้อมกอดด้วยความหวาดหวั่น
“กลัวหรือ...”
หม่าเซียวหลานเอ่ยถามคล้ายอารมณ์ดี เขาหยักยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก โน้มใบหน้าลงไปใกล้ปลายจมูกเชิดรั้นจนรับรู้ได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจของกันและกัน ทำให้เจ้าของร่างบางในอ้อมกอดคลายความหวาดกลัวแปรเปลี่ยนเป็นความขัดเขินอย่างไม่อาจควบคุม
ใบหน้าของคณิกาสาวที่ซีดเผือดค่อยๆ แดงระเรื่อจนมาถึงปลายจมูก ไล่ลามแดงไปถึงใบหู ฉ่าร้อนไปทั้งสรรพางค์กาย นางไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบเปลือกตา เอาแต่จ้องมองใบหน้าของเขาที่ใกล้แค่คืบด้วยความรู้สึกปั่นป่วนในหัวใจ
ตึก! ตึก! ตึก!
หัวใจดวงน้อยเต้นแรงราวกับเสียงกลองรบ อีกนิดหากเขายังโน้มลงมาใกล้จนเกือบจะจูบเช่นนี้มันคงกระโจนออกมาเต้นระรัวนอกอกอย่างไม่ต้องสงสัย
“เจ้าค่ะ ขะ...ข้ากลัว”
นางยอมรับออกไปตามประสาซื่อ ยังผลให้คนตัวโตถึงกับเลิกคิ้วสูง ยิ่งนางหลุบเปลือกตาลงต่ำ ร่างกายสั่นเทิ้มราวกับลูกแมวเสียขวัญ หัวใจดวงโตแข็งกร้าวก็แกว่งไกวเต้นผิดจังหวะอย่างไม่อาจควบคุม
นางดูบอบบางน่าทะนุถนอมตระกองกอดไว้ในอ้อมแขนแทบไม่อยากปล่อยให้หลุดรอดสายตา แต่ก็นั่นแหละ... ลืมไปแล้วหรือว่ามารยาของนางทำให้พี่ใหญ่ต้องจบชีวิตลง และเขาก็ไม่ควรตกหลุมพรางของนางเด็ดขาด
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็คลายอ้อมกอดแนบแน่นเป็นแค่ตระกองกอดพอหลวมๆ ใบหน้าที่โน้มต่ำจนเกือบจะจูบก็ผละออกเป็นยืนตัวตรง
ซือเซียนลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อชายชุดดำไม่ได้โน้มหน้าลงมาจนนางรู้สึกชาวาบไปทั้งสรรพางค์กาย จากนั้นนางจึงเม้มริมฝีปากเข้าหากัน สูดลมหายใจเข้าปอดลึก แล้วเอื้อนเอ่ยความปรารถนาที่ไม่อาจเป็นไปได้ออกไป
“ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะนะเจ้าคะนายท่าน ข้าไม่อยากเป็นหญิงคณิกา ข้าไม่อยากขายตัว”
อ้อนวอนออกไปเช่นนั้น ทั้งที่รู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ชายที่ยอมจ่ายถึงห้าตำลึงทอง มีหรือจะปล่อยนางไปง่ายๆ ช่างน่าขันนัก!
“เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่เต็มใจขายตัวงั้นหรือ”
แสร้งถามทั้งที่ปักธงคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าหญิงสาวนางนี้เป็นคณิกาใจทรามเจ้ามารยา กระนั้นกลับต้องทำเป็นไม่รู้จักนาง เป็นเพียงชายผู้มีใจมืดบอดหลงใหลในหญิงงามเพื่อล่อหลอกให้นางตกลงมาในกับดักร้ายก็เท่านั้น
“เจ้าค่ะข้าไม่เต็มใจ”
จังหวะที่นางพยักหน้าพลันหยดน้ำใสก็ไหลเผาะจากดวงตารินรดแก้มอิ่มระเรื่อชวนมอง ส่งผลให้หัวใจแกร่งเต้นไม่เข้าจังหวะ
ต้องยอมรับว่า ‘ฝูหลงฮาว’ เป็นหญิงงามชวนหลงใหลมากจริงๆ ไม่แปลกที่พี่ชายของเขาจะคลั่งไคล้ไหลหลงในตัวนาง เมื่อถูกนางทอดทิ้งจึงทนไม่ได้ถึงกับผูกคอตายหนีความช้ำรักที่ไม่สมหวัง
“ข้าถูกบิดาเลี้ยงนำมาขาย บิดาเลี้ยงอ้างว่าเงินที่ได้จากการขายข้าให้กับหอนางโลมนั้นจะนำไปใช้หนี้ และใช้เป็นทุนให้กับน้องสาวฝาแฝดทั้งสองได้ออกเรือนไปกับชายหนุ่มที่ดีเจ้าค่ะ ข้าอยากให้ซือฮวาและซืออ้ายมีความสุข จึงคิดว่าจะทนยอมขายตัว แต่พอเอาเข้าจริงข้ากลับไม่อาจทำใจได้”
น้ำเสียงยามเอื้อนเอ่ยนั้นสั่นเครือ พยายามกลั้นสะอื้นแต่ก็ทำได้ยากยิ่งจนริมฝีปากอวบอิ่มจำต้องเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง กระนั้นไหล่เล็กกลับสั่นจนคนตัวโตเผลอกอดกระชับให้แน่นขึ้นคล้ายกับจะปลอบโยนอยู่ในที
“เจ้ามีน้องสาวฝาแฝดถึงสองคนเชียวหรือ”
“เจ้าค่ะข้าเป็นแฝดคนโต พวกเราทั้งสามรักกันมาก หากน้องสาวทั้งสองรู้ว่าข้าถูกนำมาขาย พวกนางคงไม่ยอมแน่ แต่ก็นั่นแหละพวกนางไม่มีทั้งกำลังและเงินตรา จะไปสู้รบปรบมือกับบิดาเลี้ยงได้อย่างไร”
‘โกหกเก่ง!’
ดวงตาที่ทอดมองนางอย่างอ่อนโยน รับฟังเรื่องราวชีวิตที่แสนรันทดราวกับนิทานหลอกเด็กคล้ายกับกำลังเห็นใจ ทั้งที่ภายในใจนั้นค่อนขอดและแสยะยิ้มด้วยความสมเพชเหลือกำลัง
‘เรื่องราวพวกนี้สินะที่เจ้าปั้นแต่งหลอกลวงพี่ใหญ่จนยอมทุ่มเงินช่วยเหลือเจ้าไปจนเกือบหมดตัว หญิงชั่ว! เจ้าคิดจะหลอกลวงชายอีกสักกี่คนกัน เจ้าจึงจะพอใจ’
“ข้ารู้ว่ามันอาจเป็นการขอที่มากไป แต่ข้าอยากให้ท่านปล่อยข้าไปจะได้หรือไม่...”
พูดออกไปแล้วก็ก้มหน้านิ่งด้วยรู้อยู่แล้วว่าเป็นการขอที่เป็นไปไม่ได้ หอนางโลมแห่งนี้การคุ้มกันแน่นหนา นางพยายามจะหลบหนีหลายครั้งแต่ไม่เคยย่างเท้าก้าวออกจากหอนรกแห่งนี้ได้เลย
“ได้สิถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น”
แม่ทัพหนุ่มตอบด้วยท่าทางสบายๆ จนคนตัวเล็กถึงกับเงยหน้าขึ้นอ้าปากค้างด้วยความงุนงง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ
แล้วจู่ๆ ชายหนุ่มก็หยุดนิ่งไปชั่วขณะ เงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้านับสิบที่กำลังก้าวเข้ามายังห้องนี้ ก่อนจะหยักยิ้มที่มุมปากน้อยๆ ด้วยรู้ดีว่าแม่เล้าหน้าเลือดกำลังพุ่งตรงมาหาเขา
“นะ...นายท่านพูดจริงหรือเจ้าคะ”
“จริงสิ”
เขาพยักหน้าน้อยๆ แล้วกระชับร่างเล็กไว้ในอ้อมกอดแนบแน่น
“เจ้าพร้อมจะเป็นอิสระแล้วหรือยัง”
“เจ้าค่ะข้าพร้อมแล้ว”
นางรีบพยักหน้าอย่างไร้เดียงสา ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นหมายถึงอะไร ขอเพียงนางไม่ต้องขายตัวทุกคืนวัน แม้ว่า ‘อิสระ’ ที่เขายื่นให้จะต้องขึ้นป่าลงเหวนางก็ยินดี
“กอดข้าไว้แน่นๆ แล้วหลับตา ข้าจะพาเจ้าไปจากที่นี่”
ซือเซียนอ้าปากค้างอีกครั้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทว่าชายชุดดำก้าวเท้ายาวไปที่หน้าต่างอย่างรวดเร็ว ไม่ทันที่นางจะได้ซักไซ้ให้ได้ใจความ เขาก็กระโดดจากหน้าต่างชั้นที่สี่ของหอนางโลมเหม่ยซิงเสียแล้ว
นางยกสองมือโอบรัดรอบคอชายหนุ่มทันที ดวงตาคู่งามปิดสนิทด้วยความหวาดกลัว ปล่อยให้เขาใช้วิชาตัวเบาโจนทะยานไปตามหลังคาบ้านเรือนที่แน่นขนัดด้วยความว่องไวดุจสายลม
ปั้ง!
ประตูห้องถูกเปิดผางโดยไม่คิดเคาะประตูเพื่อรักษามารยาทแต่อย่างใด เวลานี้แม่เล้าหลวนเหยามีสีหน้าขึ้งเคียด เมื่อทองห้าตำลึงที่ได้มานั้นเป็น...
‘ทองปลอม’
กล้ามาก! กล้าประมูลตัดหน้าราคาสี่ตำลึงทองกับอีกห้าตำลึงเงินของขุนนางชงไฉ่ด้วยห้าตำลึงทองปลอม หมดกันเงินก้อนโตที่นางควรจะได้รับ
เงินจำนวนมากถึงเพียงนั้นสามารถดลบันดาลให้นางเสพสุขไปได้เกือบชั่วชีวิต แต่มันกลับต้องอันตรธานหายไปในพริบตาเพราะเล่ห์กลโกง
ก็ใครจะไปคาดคิดเล่าว่าชายที่ยอมจ่ายเงินเพื่อที่จะได้นั่งในตำแหน่ง ‘ทำเลทอง’ จะกลายเป็นมิจฉาชีพ!
“เจ้าคนโฉดออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
ว่างเปล่า...
“บัดซบ!”
ยิ่งเมื่อพบว่าภายในห้องว่างเปล่า ปราศจากชายชุดดำอีกทั้งคณิกาสาวตัวทำเงินก็ยังถูกลักพาตัวหายไป นางก็ยิ่งแน่ใจว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ ต้องทำกันเป็นกระบวนการ
หลวนเหยากัดฟันกรอด หมายมั่นว่าจะต้องไปไล่บี้เอาความจริงกับ ‘หวังจือชู’ บิดาเลี้ยงของซือเซียน ว่ารู้เห็นเป็นใจกับการลักพาตัวในครั้งนี้หรือไม่
“ค้นหาให้ทั่วเดี๋ยวนี้ จับเป็นมาให้ได้!”
“ขอรับนายหญิง”
ชายฉกรรจ์กำชับดาบแนบตัวมั่น รีบแจกจ่ายงานแล้วแยกย้ายกันออกค้นหาอย่างรวดเร็ว
หลวนเหยากำถุงทองสีดำในมือเอาไว้ บีบแน่นจนเจ็บร้าวไปทั้งมือ ทว่านางกลับไม่สนใจความเจ็บนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะเวลานี้นางเจ็บใจอย่างสุดแสน แทบจะกระอักออกมาเป็นเลือด นางเทตำลึงทองปลอมทั้งห้าก้อนลงบนพื้น ก่อนจะใช้เท้าเหยียบย่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว
“สารเลว!”
ไม่กี่อึดใจต่อมาชายฉกรรจ์นายหนึ่งก็วิ่งมาแจ้งผู้เป็นนายด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ
“ไม่พบเลยขอรับนายหญิง ม้าสามตัวและผู้ติดตามของชายชุดดำก็หายไปกันหมด ตอนนี้ข้าได้สั่งให้คนของเราออกไปดักตามประตูเมือง และจุดต่างๆ ทั่วเมืองไห่เหอ คิดว่าน่าจะควานหาตัวพวกมันได้ก่อนรุ่งสางเป็นแน่ขอรับ”
ปั้ง!
“หึ! เจ้าพวกโง่!”
หลวนเหยาตบพัดผ้าไหมสีดำลงมาบนโต๊ะ ริมฝีปากสั่นระริก
“คิดว่ามันจะโง่ยอมให้พวกเจ้าจับได้หรือไง เกณฑ์คนออกไปช่วยกันหาแบบปูพรมให้หมด แล้วไปจ้างนักสืบจางออกตามหาด้วยอีกแรงหนึ่ง ไม่ว่ายังไงเรื่องนี้ข้าจะไม่ยอมปล่อยผ่านเด็ดขาด ข้าจะต้องได้ตัวซือเซียนกลับมาโดยที่นางยังไม่บุบสลาย และต้องได้ชายผู้นั้นกลับมาลงโทษที่บังอาจหลอกลวงข้า!”
“ขอรับนายหญิง”
ชายฉกรรจ์โค้งตัวน้อมรับคำสั่งก่อนจะยกหลังมือปาดเหงื่อแล้ววิ่งออกไปทันที
โครม!
เพล้ง!
แม่เล้าหลวนเหยาทำลายข้าวของที่ประดับตกแต่งภายในห้องราวกับต้องการบันดาลโทสะ กัดฟันกรอด ปลายหางตากระตุกเกร็ง
“เรื่องนี้จะไม่มีทางจบลงง่ายๆ แน่!”
นางรีบเดินทางออกจากหอนางโลมเหม่ยซิง เพื่อไปพบกับ ‘ใต้เท้า’ ผู้มีพระคุณ ที่ให้การสนับสนุนหอนางโลมแห่งนี้อย่างลับๆ มาโดยตลอด ช่วยหนุนกิจการจนมั่นคงโดยไม่มีใครสามารถทำร้ายหรือรังแกได้ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
นางมั่นใจว่าใต้เท้าผู้มีพระคุณจะต้องมอบความเป็นธรรมให้แก่นาง จับนักต้มตุ๋นมาลงโทษให้สาสม!