ฉ่ำรัก ที่ 2 ตีค่าพรหมจรรย์
ฉ่ำรัก ที่ 2
ตีค่าพรหมจรรย์
บุรุษใดจะได้เชยชมหญิงงาม
“และแล้วเวลาที่เหล่าท่านสุภาพบุรุษรอคอยก็มาถึง”
แม่เล้าหลวนเหยาเดินกรีดกรายออกมายืนหน้าเวที แล้วโค้งกายคำนับแขกผู้มาเยือนหอนางโลมเหม่ยซิงอย่างแช่มช้อย หยักยิ้มและเล่นหูเล่นตาแพรวพราวอย่างสตรีที่เต็มไปด้วยหนามแหลมรอบกาย
“สาวงามผู้มาใหม่นี้นางมีนามว่า ‘ซือเซียน’ แค่ความหมายของชื่อพวกท่านก็คงเดาได้แล้วว่า ‘นางฟ้าแห่งความสุข’ จะทำให้ใต้เท้าทั้งหลายเปรมปรีดามากมายสักเพียงใด พวกท่านมองนางให้เต็มตาสิเจ้าคะ” พูดพลางผายมือไปยังด้านหลัง
“นางสวยหยาดฟ้าราวกับเทพธิดา งดงามอ่อนหวานละมุนละไมตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ผิวของนางเนียนนุ่มดั่งน้ำนมราดลงบนไขผึ้ง ดวงตาของนางหม่นเศร้าเล็กน้อยทว่ากลับยิ่งทำให้นางดูน่าค้นหา จริงหรือไม่เจ้าคะใต้เท้าทั้งหลาย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหนุ่มน้อยหนุ่มก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย ส่งเสียงฮือฮา ทว่าแม่ทัพหม่ากลับกระตุกยิ้มแล้วหัวเราะในลำคออย่างดูแคลน
‘หนีข่าวคาวจากเมืองฮุยผิงแต่กลับบอกกับทุกคนว่ามาจากเมืองหาน นามเดิมคือ ‘ฝูหลงฮาว’ แต่กลับโป้ปดนามใหม่ว่า ‘ซือเซียน’ ช่างตลบตะแลงเสแสร้งได้เก่งกาจเหลือเกิน ดูสิว่านางจะโกหกอะไรต่อไปอีก ช่างน่าสนุกเสียจริง!’
แม่เล้าเดินไปจับแขนคณิกาสาวให้ลุกออกมายืนข้างตน ทว่าซือเซียนกลับสั่นเทิ้มด้วยความกลัว นางไม่ยอมลุกอีกทั้งยังสะบัดมือหนีจากการจับกุมแล้วก้มหน้างุด หลวนเหยาจึงต้องยื้อยุดฉุดลากนางอยู่เป็นนานสองนาน
“ถ้าเจ้าไม่ลุก ข้าจะจับเจ้าแก้ผ้าเดี๋ยวนี้!”
แม่เล้าขู่พอให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคน ซือเซียนหน้าซีดเผือด ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา เรือนกายเย็นเฉียบอย่างเสียขวัญ
“ลุกเดี๋ยวนี้!”
คณิกาสาวยอมลุกขึ้นยืนแต่โดยดี ทว่าเมื่อก้าวขาออกไปเพียงสองก้าวนางก็ล้มลงไปกองกับพื้น
ว้าย!
ซือเซียนอับอายจนแทบไม่กล้าเงยหน้า หยาดน้ำตาร่วงเผาะหยดแล้วหยดเล่า นางอยากจะกลั้นใจตายลงเสียเดี๋ยวนี้ แต่นางไม่อาจทำได้ นางยังมี ‘ห่วง’ จึงไม่อาจละทิ้งชีวิตอันแสนรันทดนี้ไปได้ นั่นเพราะน้องสาวฝาแฝดของนางอีกสองคนก็กำลังตกอยู่ในชะตากรรมลำบากไม่ต่างไปจากนาง ดังนั้นนางต้องหาทางหนีไปจากที่นี่เพื่อตามหาน้องสาวฝาแฝดทั้งสอง แต่จะทำได้อย่างไรเล่าในเมื่อนางช่างอ่อนแอและไร้หนทางสู้
ทั้งหอนางโลมตกอยู่ในความเงียบด้วยความตกใจ ก่อนที่เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ติดเวทีจะตะโกนดังขึ้น
“แม่นางเจ็บตรงไหนหรือไม่”
ไวกว่าความคิดท่านอ๋องสิบเอ็ดก็กระโจนขึ้นไปบนเวทีแล้วช่วยประคองคณิกาสาวให้ยืนขึ้น
“ขะ...ข้าไม่เป็นไร ขะ...ข้าขอขอบคุณท่านใต้เท้าเจ้าค่ะ”
นางเงยหน้าสบตาเขาเพียงแวบเดียวแล้วรีบก้มหน้าหลุบลงต่ำ เพียงเท่านั้นเองอ๋องหนุ่มก็ถึงกับตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความรัก เขาผู้เชี่ยวชาญการกินดื่มเคล้านารีมาทั่วทั้งห้าแคว้น ทว่ากลับไม่เคยรู้สึกใจเต้นแรงกับหญิงสาวนางใดมาก่อน
‘หึ! มารยา! เพื่อโก่งราคาค่าตัวสินะ แสร้งใสสื่อไร้เดียงสาเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ชายหน้าไหนก็ต้องหลงกล ดูเหมือนว่าท่านอ๋องหน้าละอ่อนยังไม่ทันหย่านมมารดาจะตกหลุมพรางนางเข้าเสียแล้ว’
แม่ทัพหม่ายกสุราขึ้นดื่มอีกจอก และอีกจอกอย่างใจเย็น เฝ้าดูการแสดงงิ้วของฝูหลงฮาวอย่างเหยียดหยัน
“ก็อย่างที่ทุกท่านได้เห็น แม่นางซือเซียนทั้งบอบบาง อ่อนแอ และไร้เดียงสา ข้าน้อยก็คงต้องขอความเมตตาจากใต้เท้าทุกท่าน ช่วยเมตตากอดปลอบแม่นางซือเซียนด้วยนะเจ้าคะ”
แม่เล้ามากเล่ห์พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ยิ่งเห็นสายตากลัดมันหื่นกระหายของเหล่าลูกค้า หัวใจของนางก็ยิ่งพองโต คิดถึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่จะได้รับในค่ำคืนนี้
“เอาละเจ้าค่ะเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาของใต้เท้าทุกท่าน เรามาเริ่มประมูลพรหมจรรย์ของสาวงามกันเลยดีกว่า โดยค่าตัวของแม่นางซือเซียนจะเริ่มประมูลที่หนึ่งตำลึงทองเจ้าค่ะ”
ราคาเริ่มต้นที่ประกาศออกมายังผลให้เกิดเสียงอื้ออึงไปทั่วทั้งหอคณิกา เพราะโดยปกติแล้วการจะเปิดประมูลพรหมจรรย์ของหญิงคณิกาจะเริ่มราคาด้วยตำลึงเงินแล้วไปสิ้นสุดที่ตำลึงทอง
ทว่ากรณีของแม่นางซือเซียนกลับโก่งราคาแพงลิบ จนไม่อาจคาดเดาเลยว่าราคาสิ้นสุดการประมูลจะมีมูลค่ามากมายเพียงใด
“ผ่านมาไม่รู้ตั้งกี่ร้อยกี่พันมือชาย เน่าเหม็นฉาวโฉ่ แต่กลับแสร้งเปลี่ยนชื่อแซ่ ชุบตัวว่าเป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง ช่างเป็นหญิงที่น่ารังเกียจไร้ยางอายเสียเหลือเกิน”
เขาเหยียดริมฝีปากลงอย่างดูแคลน แล้วยกจอกสุราขึ้นดื่ม โดยใช้มืออีกข้างเปิดผ้าปิดบังใบหน้าสีดำขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาเป็นใคร
“หนึ่งตำลึงทองกับอีกหนึ่งตำลึงเงิน!”
“หนึ่งตำลึงทองกับอีกสองตำลึงเงิน!”
“สองตำลึงทอง!”
“สองตำลึงทองกับอีกหนึ่งตำลึงเงิน!”
ซือเซียนผสานมือเข้าหากันแล้วบีบแน่น มือเล็กสั่นเทิ้มชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อ นางก้มหน้าอยู่ตลอดเวลาในขณะที่โสตประสาทได้ยินเสียงขานจำนวนตำลึงทองที่มีคนยื่นประมูลความบริสุทธิ์ของนางอย่างไม่ขาดสาย
“สามตำลึงทอง!”
เสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วหอคณิกาเหม่ยซิง เมื่อชงไฉ่ขุนนางสูงวัยยื่นประมูลตัดราคากว่าสามเท่า
ซือเซียนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าชายผู้เป็นเจ้าของยอดประมูลสามตำลึงทอง เขาเป็นชายสูงวัยผมขาว ท่าทางใจดีไม่น้อย
คณิกาสาวรู้สึกคลื่นไส้คล้ายจะอาเจียน ไม่ว่าชายคนใดนางก็ไม่ต้องการให้มาแตะต้องร่างกายของนางโดยปราศจากความรัก
นางเฝ้าถนอมเรือนกายและพรหมจรรย์มากว่าสิบหกหนาว หวังจะได้ออกเรือนเป็นภรรยาของชายที่รักในอนาคต ทว่าความฝันกลับสลายไปสิ้นเมื่อจู่ๆ มารดาของนางก็ล้มป่วยลงและเสียชีวิตอย่างกะทันหัน
บิดาเลี้ยงซึ่งติดการพนันและสุราเมรัยจึงนำนางมาขายให้กับแม่เล้าหลวนเหยา ทำให้ความฝันของนางถึงกับพังทลายลงในพริบตา
สะ...สามตำลึงทองกับอีกหนึ่งตำลึงเงิน!”
ยังมีชายหนุ่มกัดฟันสู้ประมูลราคาพรหมจรรย์ของคณิกาสาวที่แพงระยับ
“สี่ตำลึงทอง!”
อ๋องสิบเอ็ดที่นั่งดูมาอย่างเงียบเชียบตัดราคาที่สี่ตำลึงทองอย่างไม่อ้อมค้อม เสียตำลึงทองไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้ งานนี้เขาต้องเป็นเจ้าของพรหมจรรย์หญิงงามแต่เพียงผู้เดียว
ราคาขนาดนี้ ยังไงเขาก็ต้อง...
“สี่ตำลึงทองกับอีกห้าตำลึงเงิน!”
ขุนนางชงไฉ่ยังคงสู้ราคาด้วยท่วงท่าสบายๆ ด้วยรู้ดีว่าอ๋องสิบเอ็ดร่ำรวยยศฐา แต่มิได้ร่ำรวยเงินทอง อ๋องผู้นี้ไม่มีงานการเป็นหลักแหล่ง อาศัยเงินเบี้ยหวัดรายเดือนจากฮ่องเต้ จึงไม่มีทางสู้ราคาไปมากกว่านี้แน่
ซึ่งนับว่าชงไฉ่มองหมากบนกระดานนี้ขาดลอย อ๋องสิบเอ็ดถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ สายตาของเขาจับจ้องไปยังคณิกาสาวด้วยความเสียดายอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่เป็นไรต่อให้ข้าไม่ได้พรหมจรรย์ของนาง แต่สักวันข้าต้องได้หลับนอนกับนางอย่างแน่นอน”
อ๋องสิบรำพันเสียงลอดไรฟันแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงแค่บ่าวรับใช้ชายที่ติดตามมาเท่านั้น ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากหอนางโลมเหม่ยซิงไปอย่าเสียหน้าทันที
ชงไฉ่เองก็ผุดลุกขึ้นยืนอย่างม้าแก่รู้จักทาง แตกต่างจากผู้แพ้อย่างอ๋องสิบเอ็ดลูกแหง่ในจวนที่ทำอะไรไม่เป็นนอกจากรอรับเบี้ยหวัดรายเดือน